Skip to content

Historical Sketch Protestant Missions in Siam 1828-1928

Published: at 12:03 PM
Cover image for Historical Sketch Protestant Missions in Siam 1828-1928

Table of Contents

prompt

ช่วยสรุปประเด็นสำคัญต่างๆ เป็นข้อๆ ให้หน่อย ขอสัก 50-100 ข้อ (เขียนตัวเลขกำกับแต่ละข้อด้วย) ขอแบบอ่านง่ายๆ ให้คนที่ไม่ได้มีความรู้เรื่องพวกนี้มาก่อนสามารถเข้าใจได้ ช่วยยกตัวอย่างสำหรับบางประเด็นที่เป็นนามธรรม เพื่อให้คนอ่านสามารถเห็นภาพได้ชัดเจนมากขึ้นด้วย ขอแบบอ่านสนุกๆ และช่วยแบ่งเป็น section ให้ด้วย

https://www.ilovepdf.com/split_pdf

สารบัญ

  • ch1 58-66
  • ch2 68-85
  • [] ch3 85-94
  • [] ch4 96-113
  • ch5 118-142
  • ch6 144-167
  • ch7 168-193
  • ch8 194-212
  • ch9 214-223
  • ch10 224-226

CH1


🧭 Section 1: จุดเริ่มต้นในพม่า และคณะสำรวจสุดแกร่ง (ค.ศ. 1818 - 1828)

นี่คือกลุ่มคนแรก ๆ ที่ปูพรมให้ศาสนาโปรเตสแตนต์ในดินแดนสยาม

  1. จุดเริ่มต้นที่ไม่ได้มาจากสยาม: เรื่องราวไม่ได้เริ่มในกรุงเทพฯ แต่เริ่มที่…กรุงย่างกุ้ง ประเทศพม่า!
  2. สุภาพสตรีผู้จุดประกาย: เธอคือ มิสซิส แอน เฮเซิลทีน จัดสัน ภรรยาของหมอสอนศาสนาชื่อดัง (อดอ นิราม จัดสัน)
  3. เห็นเชลยสงคราม: ท่านสนใจเชลยชาวสยามจำนวนมากที่ถูกคุมขังอยู่ที่นั่น
  4. ลองเรียนภาษาไทย: ท่านเรียนภาษาสยาม (ภาษาไทย) ไปแล้วประมาณปีครึ่งในช่วงปี ค.ศ. 1818
  5. งานแปลชิ้นประวัติศาสตร์: ท่านแปลคำสอนศาสนาและส่วนของพระคัมภีร์มัทธิวเป็นภาษาสยาม (แม้จะยังไม่มีหลักฐานว่าพระคัมภีร์มัทธิวได้รับการตีพิมพ์)
  6. ตีพิมพ์ที่อินเดีย: คำสอนที่ท่านแปลได้ถูกตีพิมพ์ที่อินเดียในปี ค.ศ. 1819 ถือเป็นงานพิมพ์สอนศาสนาฉบับแรก ๆ ของไทย
  7. ความพยายามก่อนหน้า: เคยมีศาสนาจารย์ เม็ดเฮิสต์ คิดจะมาสยามในปี ค.ศ. 1826 แต่ไม่ทัน
  8. คณะบุกเบิกมาถึง: สองผู้กล้ามาถึง! คือ ศาสนาจารย์ คาร์ล ออ กัสตัส ฟริตริค กุตสลาฟ (หมอชาวเยอรมัน) และ ศาสนาจารย์ เจคอบ ทอมลิน (ชาวอังกฤษ)
  9. วันที่มาถึง: วันที่ 23 สิงหาคม ค.ศ. 1828 คือวันที่พวกเขามาถึงกรุงเทพฯ ด้วยเรือจีนเก่า ๆ
  10. การต้อนรับระดับ VIP: พวกเขาได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจาก ฯพณฯ ท่าน คาร์โลส ซิลเวรา กงสุลโปรตุเกส (คนนี้เป็นกุญแจสำคัญ!)
  11. มิตรภาพข้ามศาสนา: แม้กงสุลจะนับถือโรมันคาทอลิก แต่ท่านก็ช่วยสนับสนุนโปรเตสแตนต์อย่างเต็มที่
  12. ได้รับอนุญาตแบบมีเงื่อนไข: รัฐบาลสยามอนุญาตให้พวกเขาอยู่และเผยแพร่ศาสนาได้…แต่จำกัดให้อยู่ในกลุ่ม คนจีน ก่อน
  13. ตลาดหนังสือคึกคัก: ที่พักของพวกเขาเต็มไปด้วยผู้คนที่มาขอ หนังสือ และ ยา อยู่ตลอดเวลา
  14. มาไกลเพื่อขอหนังสือ: บางคนเดินทางมา 3-4 วันจากต่างจังหวัดเพื่อมาหาพวกเขา!
  15. หนังสือหมดสต็อก: ภายในสองเดือน พระคัมภีร์ที่นำมาด้วยก็หมดเกลี้ยง! (เป็นสัญญาณที่ดีว่าคนสนใจมาก)

⚔️ Section 2: ข้อจำกัด ความขัดแย้ง และการต่อสู้ (ค.ศ. 1828 - 1831)

เมื่อได้รับความนิยมมากเกินไป ก็เริ่มมีปัญหาตามมา

  1. โรมันคาทอลิกอยู่ก่อนแล้ว: ก่อนหน้านั้น คริสตจักรโรมันคาทอลิกตั้งอยู่ในสยามมานานกว่า 100 ปี มีโบสถ์ 4 แห่งในกรุงเทพฯ และอีกหลายแห่ง
  2. คนสยามเปลี่ยนศาสนาน้อย: คนสยามที่เปลี่ยนมานับถือคริสต์ (คาทอลิก) ยังมีจำนวนน้อย อาจเป็นเพราะกลัวถูกลงโทษ
  3. สัญญาณอันตราย: ความสนใจในมิชชันนารีโปรเตสแตนต์ที่เพิ่มขึ้น ทำให้เกิดการลงโทษตามมา
  4. โดนสั่งให้ออกนอกประเทศ: กรมพระคลัง (เสนาบดีต่างประเทศ) สั่งให้พ่อค้าชาวอังกฤษพาพวกเขาออกไป!
  5. ใช้สิทธิ์ประท้วง: หมอสอนศาสนาไม่ยอมแพ้ อุทธรณ์โดยตรงและอ้างถึงสนธิสัญญา 2 ฉบับที่ทำกับอังกฤษ
  6. ชนะคดี: การประท้วงได้ผล ทำให้ได้รับอนุญาตให้อยู่ต่อได้
  7. แต่มีกฎเหล็ก: มีการสั่งห้าม แจกจ่ายหนังสือ (เหมือนถูกสั่งให้พูดได้อย่างเดียว แต่ห้ามแจกใบปลิว!)
  8. ออกกฎหมายห้าม: มีพระราชกฤษฎีกาห้ามคนสยามรับหนังสือเกี่ยวกับศาสนาคริสต์
  9. กงสุลซิลเวรายังคงเป็นโล่: ท่านกงสุลโปรตุเกสยังคงเป็นมิตรสำคัญที่ช่วยให้พวกเขาผ่านช่วงลำบากไปได้
  10. งานแปลคือทางรอด: เมื่อแจกหนังสือไม่ได้ พวกเขาจึงพุ่งเป้าไปที่ การแปล และ การเรียนภาษา
  11. เรียนภาษาเร็วปรื๋อ: ทั้งสองเรียนภาษาไทยเร็วมาก
  12. ทีมงานแปลต่างชาติ: พวกเขาทำงานแปลผ่านคนจีน (ชื่อคิง) และชาวพม่า (ชื่อฮอน) ที่พอรู้ภาษาไทย
  13. ผลงาน 6 เดือน: ภายในครึ่งปี พวกเขาแปลพระกิตติคุณ (Gospels) ทั้ง 4 เล่ม และพระธรรมโรมเป็นภาษาไทยสำเร็จ!
  14. เริ่มทำพจนานุกรม: พวกเขายังเริ่มทำ พจนานุกรมอังกฤษ-ไทย ไปได้จนถึงตัวอักษร “R”
  15. ทอมลินลาป่วย: ศาสนาจารย์ ทอมลิน ต้องเดินทางไปสิงคโปร์ใน ค.ศ. 1829 เพื่อพักฟื้นและจัดหายา/หนังสือ
  16. กุตสลาฟไปสมรส: กุตสลาฟตามไปสิงคโปร์เพื่อนำงานไปตีพิมพ์ และสมรสกับ มิส มาเรีย เนเวล

💔 Section 3: โศกนาฏกรรมแห่งการทุ่มเทของกุตสลาฟ (ค.ศ. 1830 - 1831)

กุตสลาฟและภรรยาใหม่กลับมาเพื่อทุ่มเทงานแปลอย่างหนักจนเกิดโศกนาฏกรรม

  1. กลับมาพร้อมภรรยา: กุตสลาฟกลับมาสยามพร้อมภรรยาในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1830
  2. นักแปลตัวยง: พวกเขาหักโหมงานแปลจนไม่เป็นอันกินอันนอน
  3. งานแปลระดับมาสเตอร์พีซ (ฉบับร่าง): ทั้งสองแปลพระคัมภีร์ เกือบทั้งหมด เป็นภาษาไทยสำเร็จ
  4. งานแปลข้ามชาติ: พวกเขายังแปลพระคัมภีร์ส่วนใหญ่เป็นภาษา ลาว และ เขมร ด้วย
  5. คู่มือภาษาก็มา: พวกเขายังทำพจนานุกรมและไวยากรณ์ภาษาไทยและเขมรเพิ่มเติม
  6. สภาพอากาศสังหาร: อากาศที่ไม่คุ้นเคยและงานหนักทำให้สุขภาพทรุดโทรม
  7. โศกนาฏกรรม: มิสซิส กุตสลาฟ เสียชีวิตในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1831 หลังคลอดลูกสาวฝาแฝดได้ไม่กี่ชั่วโมง (ลูกสาวคนหนึ่งก็เสียชีวิต)
  8. สุสานแรกสุด: ร่างของท่านถูกฝังที่บริเวณทางเหนือของสถานกงสุลโปรตุเกส (ได้รับอนุญาตพิเศษ)
  9. ที่ดินศักดิ์สิทธิ์: บริเวณนั้นจึงกลายเป็นสุสานแห่งแรกสำหรับหมอสอนศาสนาโปรเตสแตนต์ (ต่อมาถูกย้ายไปสุสานใหม่ใน ค.ศ. 1893)
  10. ความเศร้าโศก: กุตสลาฟเสียใจมาก และสุขภาพก็ย่ำแย่ลง
  11. ย้ายภารกิจไปจีน: ท่านจำใจต้องเดินทางออกจากสยามไปประเทศจีนในวันที่ 3 มิถุนายน ค.ศ. 1831
  12. เปลี่ยนสัญชาติเพื่อเข้าจีน: ท่านถึงขนาดต้องเปลี่ยนสัญชาติเป็นคนของจักรวรรดิอันศักดิ์สิทธิ์และมีชื่อจีนว่า ชื่อหลี่ เพื่อให้เข้าถึงคนจีนได้ง่ายขึ้น
  13. ไม่ได้กลับมาสยาม: หลังจากออกจากสยาม ท่านก็ไม่กลับมาอีกเลย
  14. ผู้เปลี่ยนศาสนาคนแรกที่ชัดเจน: ผู้ที่กุตสลาฟทำพิธีบัพติศมาให้ในสยามโดยตรงมีเพียงคนเดียว คือ บุ้งตี้ ชาวจีน
  15. มรดกงานแปล: งานแปลของกุตสลาฟแม้จะยังไม่สมบูรณ์ แต่เป็นรากฐานสำคัญให้คนรุ่นหลังทำต่อ
  16. แท่นพิมพ์ถูกส่งต่อ: ตัวพิมพ์ภาษาไทยรุ่นแรก ๆ ที่อยู่ที่สิงคโปร์ (ซึ่งกุตสลาฟเคยใช้) ถูกส่งต่อให้กับคณะมิชชันนารีอเมริกัน

🇺🇸 Section 4: กองหนุนจากอเมริกา และ 3 คณะพันธกิจหลัก (ค.ศ. 1831 - 1840)

เมื่อสยามส่งสัญญาณว่าน่าสนใจ คณะมิชชันนารีในอเมริกาก็เข้ามารับไม้ต่อ

  1. คำร้องขอความช่วยเหลือข้ามทวีป: กุตสลาฟและทอมลินได้ส่งคำร้องขอหมอสอนศาสนาไปยังคริสตจักรในอเมริกา
  2. ช่องทางพิเศษ: คำร้องนี้ไปถึงอเมริกาพร้อมกับ แฝดสยาม (อิน-จัน) ที่เดินทางไปแสดงตัวที่นั่นใน ค.ศ. 1829
  3. นักรบชุดขาวคนแรกของอเมริกา: ศาสนาจารย์ เดวิด อาบีล, เอ็ม.ดี. เดินทางมาถึงในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1831
  4. มาถึงช้าไป 12 วัน: อาบีลมาถึงสยามหลังจากกุตสลาฟเดินทางออกไปแค่ 12 วัน
  5. พบกับทอมลิน: อาบีลเข้าพักในบ้านของกงสุลโปรตุเกสที่เพิ่งว่างลง
  6. ความนิยมยังพุ่ง: อาบีลพบว่าผู้คนก็ยังต้องการหนังสือเหมือนเดิม
  7. พระภิกษุสนใจ: ท่านรายงานว่ามีพระภิกษุรูปหนึ่งคัดลอกพระคัมภีร์ใหม่ไปจำนวนมาก!
  8. เปิดโบสถ์เล็ก ๆ: ท่านจัดตั้งที่นมัสการในบ้าน โดยใช้ภาษาจีนประกอบพิธีทุกวันอาทิตย์
  9. บุ้งตี้กลับมาช่วย: บุ้งตี้ (คนจีนที่กุตสลาฟให้บัพติศมา) กลับมาจากจีนและกลายเป็นผู้ช่วยสำคัญของอาบีล
  10. รายงานเร่งด่วนถึงอเมริกา: อาบีลรายงานว่ากรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลางพันธกิจที่ “ควรรักษาไว้เป็นอย่างยิ่ง”
  11. ต้องมาให้เร็วที่สุด: ท่านขอให้ส่งหมอสอนศาสนามา 2-3 คนเป็นการเร่งด่วน (เหมือนส่งสัญญาณ SOS)
  12. ปัญหาไข้เรื้อรัง: น้ำท่วมและอากาศทำให้ท่านเป็นไข้เรื้อรัง (โรคยอดฮิตของชาวต่างชาติในยุคนั้น)
  13. ลาพักฟื้นครั้งแรก: อาบีลต้องเดินทางไปสิงคโปร์เพื่อพักฟื้นในต้นปี ค.ศ. 1832
  14. กลับมาลองสู้ใหม่: ท่านกลับมาถึงบางกอกในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1832
  15. ห้ามแจกหนังสือรอบสอง: มีพระราชกฤษฎีกาห้ามแจกจ่ายหนังสือออกมาอีก
  16. เทคนิคการแจกจ่าย: ท่านจึงใช้วิธีแจกจ่ายให้กับผู้คนบน เรือกว่า 50 ลำ ที่จะเดินทางไปจีน!
  17. การจากลาครั้งสุดท้าย: อาบีลไม่สามารถทนไข้เรื้อรังได้อีก จึงต้องเดินทางออกจากสยามไปอังกฤษ/อเมริกาใน ค.ศ. 1833
  18. มิชชันนารีแบ๊บติสท์มา: ศาสนาจารย์ จอห์น เทเลอร์ โจนส์, ดี.ดี. กับภรรยา ถูกย้ายมาจากพม่าเพื่อตอบรับคำวิงวอน
  19. รับช่วงต่อพจนานุกรม: ดร. โจนส์ได้รับพจนานุกรมอังกฤษ-ไทยที่กุตสลาฟเริ่มทำไว้
  20. ที่ดินถัดไป: โจนส์ได้รับการช่วยเหลือจากกงสุลซิลเวราให้เช่าที่ดินที่ติดกับสถานกงสุล (ที่ดินนี้ต่อมาขายต่อให้คณะแบ๊บติสท์)
  21. การก่อตั้งคณะเพรสไบทีเรียน: ใน ค.ศ. 1837 มีการก่อตั้งคณะกรรมการพันธกิจคริสตจักรเพรสไบทีเรียนโพ้นทะเล
  22. เพรสไบทีเรียนคนแรกมา: ศาสนาจารย์ วิลเลียม พี. บูเอล กับภรรยา เดินทางมาถึงสยามในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1840
  23. พันธกิจครบ 3 คณะ: การมาของบูเอลทำให้สมาคมมิชชันนารีอเมริกัน 3 สมาคมเข้ามาทำพันธกิจในสยาม
      1. A.B.C.F.M. (อาบีล)
      1. แบ๊บติสท์ (โจนส์)
      1. เพรสไบทีเรียน (บูเอล)

💡 Section 5: มรดกสำคัญที่ไม่ใช่แค่ศาสนา (The Legacies)

ผลกระทบของการมาถึงของพวกเขาไม่ได้จำกัดอยู่แค่เรื่องศาสนา แต่เป็นรากฐานด้านภาษาและการแพทย์

  1. การมาถึงของแท่นพิมพ์: ตัวพิมพ์ภาษาไทยรุ่นแรกถูกนำมาที่สิงคโปร์โดยศาสนาจารย์ โรเบิร์ต เบิร์น
  2. ตัวพิมพ์เปลี่ยนมือ: หลังจากคุณเบิร์นเสียชีวิต ตัวพิมพ์ก็ถูกขายต่อให้คณะ A.B.C.F.M.
  3. ดร.บรัดเลย์: ดร. แดน บีช บรัดเลย์ ได้รับแท่นพิมพ์กับตัวพิมพ์นี้
  4. การปฏิวัติการพิมพ์ไทย: ดร. บรัดเลย์ นำแท่นพิมพ์มาที่บางกอกใน ค.ศ. 1835 (นี่คือจุดกำเนิดของอุตสาหกรรมการพิมพ์และหนังสือพิมพ์ภาษาไทยสมัยใหม่!)
  5. รากฐานภาษาไทย: งานแปลพระคัมภีร์และพจนานุกรมที่กุตสลาฟเริ่มไว้ กลายเป็นฐานให้คนรุ่นหลังทำงานภาษาไทยต่อ
  6. ความยืดหยุ่นทางวัฒนธรรม: แม้จะมีข้อห้ามแจกหนังสือ แต่พวกเขาก็ยังคงสามารถดำเนินงานสอนศาสนาผ่านภาษาจีนและการสนทนา
  7. ความสำคัญของยา: การนำ ยา มาแจกจ่ายควบคู่กับหนังสือ ดึงดูดผู้คนให้เข้ามารับฟังคำสอน (เปรียบเหมือนการใช้การแพทย์เป็นประตูเปิดบ้าน)
  8. ความทุ่มเทสู่ความตาย: การที่มิสซิส กุตสลาฟ เสียชีวิตจากการหักโหมงานแปล แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่ไม่ธรรมดาของผู้บุกเบิกในยุคนั้น
  9. การทำงานร่วมกับชาวต่างชาติ: หมอสอนศาสนาต้องพึ่งพาคนกลาง (เช่น คิง, ฮอน) ในการทำงานแปลภาษา เพราะยังไม่มีคนสยามที่เชี่ยวชาญพอ
  10. กงสุลที่เป็นสะพาน: ท่านซิลเวรา กงสุลโปรตุเกส ได้ทำหน้าที่เป็น สะพานเชื่อม ระหว่างคณะมิชชันนารีกับรัฐบาลสยาม และยังช่วยจัดหาที่พัก/ที่ดินให้พวกเขาด้วย

💯 Bonus: สรุปฉบับกระชับ (The Big Picture)

  1. ผู้บุกเบิกทางความคิด (ปี 1818): มิสซิส แอน จัดสัน
  2. ผู้บุกเบิกภาคปฏิบัติ (ปี 1828): ศาสนาจารย์ กุตสลาฟ และ ทอมลิน
  3. ผู้บุกเบิกชาวอเมริกัน (ปี 1831): ศาสนาจารย์ เดวิด อาบีล
  4. ผู้บุกเบิกด้านการพิมพ์ (ปี 1835): ดร. แดน บีช บรัดเลย์
  5. ผู้บุกเบิกคณะแบ๊บติสท์ (ปี 1833): ศาสนาจารย์ จอห์น เทเลอร์ โจนส์
  6. ผู้บุกเบิกคณะเพรสไบทีเรียน (ปี 1840): ศาสนาจารย์ วิลเลียม พี. บูเอล
  7. ศูนย์กลางในยุคแรก: กรุงเทพฯ (บางกอก)
  8. กลุ่มเป้าหมายหลักในยุคแรก: ชุมชนคนจีน
  9. เครื่องมือหลัก (ก่อนโดนห้าม): พระคัมภีร์และยา
  10. งานมรดกที่สำคัญที่สุด: การแปลพระคัมภีร์และพจนานุกรม
  11. ผลกระทบต่อพื้นที่: การกำหนดเขตสุสานโปรเตสแตนต์
  12. ความยากลำบากหลัก: สุขภาพ (ไข้เรื้อรัง) และข้อจำกัดจากรัฐบาล
  13. แรงจูงใจในการมา: คำวิงวอนจากผู้บุกเบิกรุ่นแรก (กุตสลาฟ/ทอมลิน)
  14. จุดเด่นของกุตสลาฟ: ทักษะด้านภาษา (แปลได้หลายภาษา) และการทุ่มเทถึงขีดสุด
  15. การเป็นจุดสนใจ: มิชชันนารีเป็นที่สนใจมาก จนต้องมีการออกพระราชกฤษฎีกาห้ามถึง 2 ครั้ง
  16. มิตรภาพที่แข็งแกร่ง: ความช่วยเหลือจากกงสุลโปรตุเกสถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้พวกเขายืนหยัดอยู่ได้
  17. การสละชีวิต: มิสซิส กุตสลาฟ ถือเป็นการเสียสละชีวิตเพื่อพันธกิจครั้งสำคัญในช่วงแรก
  18. รากฐานที่มั่นคง: แม้ผู้ที่เปลี่ยนศาสนาโดยตรงจะมีน้อย แต่การเข้ามาของ 3 คณะหลักจากอเมริกาถือเป็นการวางรากฐานระยะยาว
  19. การเริ่มต้นของ “หมอสอนศาสนา”: พวกเขาไม่ได้มาแค่สอนศาสนา แต่มาพร้อมกับ การแพทย์ ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญในการเปิดใจผู้คน
  20. จากศูนย์สู่สาม: สยามกลายเป็นพื้นที่ที่มีคณะมิชชันนารีหลัก 3 คณะจากอเมริกาเข้ามาทำงานในเวลาเดียวกัน ถือเป็นจุดเริ่มต้นของศตวรรษแห่งการเผยแพร่ศาสนาโปรเตสแตนต์ในสยาม!

CH2


สรุป 100 ประเด็นสำคัญ: การบุกเบิกของคณะมิชชันนารีอเมริกันในสยาม (ค.ศ. 1831–1893)

🚀 ส่วนที่ 1: การมาถึงและการก่อตั้งภารกิจ (The Pioneering Journey)

นี่คือจุดเริ่มต้นของคณะเผยแพร่ศาสนาที่เดินทางมาไกลเพื่อนำความรู้และวิทยาการใหม่ ๆ มาสู่สยาม!

  1. จุดเริ่มต้นของภารกิจนี้ในสยามเกิดขึ้นตามคำร้องขออย่างจริงใจจาก ศาสนาจารย์คาร์ล กุตสลาฟ และ ศาสนาจารย์เจคอบ ทอมลิน [cite: 231, 226]
  2. คณะกรรมาธิการพันธกิจคริสตจักรโพ้นทะเลแห่งอเมริกา (ABCFM) เป็นหน่วยงานที่ตัดสินใจเลือกอาณาจักรสยามเป็นพื้นที่เผยแพร่ศาสนา [cite: 231]
  3. ศาสนาจารย์ เดวิด อาบีล, เอ็ม. ดี. (Dr. David Abeel) เดินทางถึงสิงคโปร์พอดีกับที่ ศาสนาจารย์ทอมลิน กำลังจะไปบางกอกเป็นครั้งที่สอง [cite: 234]
  4. กัปตันเรือยอมออกเดินทางล่าช้าถึงสามวัน เพื่ออำนวยความสะดวกให้ Dr. Abeel เดินทางไปพร้อมกับ Mr. Tomlin [cite: 234]
  5. ทั้งสองท่านเดินทางมาถึงสยามในวันที่ 30 มิถุนายน ค.ศ. 1831 [cite: 234]
  6. การมาถึงของพวกเขาเกิดขึ้นไม่นานหลังจากที่ Mr. Gutzlaff เพื่อนร่วมงานคนสำคัญ ได้เดินทางไปจีนเพราะหมดหวังจากปัญหาสุขภาพและการจากไปของภรรยา [cite: 234]
  7. Mr. Gutzlaff ใช้เวลาอยู่ในสยามเพียงสามปีเท่านั้น ก่อนจะเดินทางไปบุกเบิกงานในจีน [cite: 234]
  8. ตลอดสามปีที่ Mr. Gutzlaff อยู่ในสยาม ท่านทำพิธีบัพติศมา (พิธีรับเข้าเป็นคริสต์ศาสนิกชน) ให้กับผู้เปลี่ยนศาสนาได้เพียงคนเดียว คือ “บุ้งตี้” (Bung Tee) [cite: 234]
  9. ผู้มาใหม่พบว่า ชาวสยามและชาวจีนในพื้นที่ต่างกระตือรือร้นที่จะได้รับ หนังสือ และ ยารักษาโรค ที่พวกเขานำมาด้วย [cite: 237]
  10. ทั้งสองท่านทำงานอย่างมุ่งมั่นเพื่อชาวสยามและชาวจีน โดยไม่เลือกปฏิบัติว่าจะเป็นชนชั้นสูงหรือชนชั้นต่ำ [cite: 237]
  11. หกเดือนต่อมา Mr. Tomlin ก็ถูกเรียกตัวกลับไป [cite: 237]
  12. Dr. Abeel ต้องเดินทางจากสยามไปสิงคโปร์เพื่อฟื้นฟูสุขภาพ [cite: 237]
  13. เมื่อกลับมาสยาม Dr. Abeel ก็ทำงานหนักจนถึงวันที่ 5 พฤศจิกายน ค.ศ. 1832 ก่อนที่สุขภาพจะทรุดโทรมจนต้องทิ้งงานไปในที่สุด [cite: 237]
  14. หมอสอนศาสนารุ่นใหม่จากคณะ ABCFM คือ ศาสนาจารย์ ชาร์ลส์ โรบินสัน และ ศาสนาจารย์ สตีเฟน จอห์นสัน กับภรรยา [cite: 238]
  15. พวกเขาออกเดินทางจากบอสตันในวันที่ 11 มิถุนายน ค.ศ. 1833 แต่ต้องติดอยู่ที่สิงคโปร์นานถึง 9 เดือนเพื่อรอเรือ [cite: 238]
  16. คณะนี้เดินทางถึงบางกอกในวันที่ 25 กรกฎาคม ค.ศ. 1834 ใช้เวลาเดินทางรวมแล้วมากกว่าหนึ่งปี [cite: 238]
  17. คุณจอห์นสันเริ่มทำงานทันทีในหมู่ชาวจีน [cite: 238]
  18. คุณโรบินสันทำงานกับชาวสยาม [cite: 238]
  19. เนื่องจากคณะแบ๊บติสท์เน้นทำงานกับชาวจีนแต้จิ๋ว (Teochew) คณะ ABCFM จึงเน้นทำงานกับชาวจีนฮกเกี้ยน (Hokkien) แทน [cite: 238, 239]
  20. ทั้งสองเช่าที่ดินได้จากข้าราชการคนหนึ่งชื่อ นายกลิ่น [cite: 240]
  21. ที่ดินที่เช่ามีขนาดประมาณ 33 ตารางหลา ตั้งอยู่ทางซ้ายมือด้านเหนือของ วัดเกาะ และอยู่ใกล้ตลาด [cite: 240]
  22. ทำเลที่ตั้งติดตลาดทำให้เป็น “สถานที่ที่ดีเยี่ยมในการติดต่อกับผู้คนทั่วไป” [cite: 240]
  23. อย่างไรก็ดี ที่ดินผืนนี้ถูกมองว่าเป็น “พื้นที่ไร้ประโยชน์” และไม่เหมาะสำหรับเป็นที่อยู่อาศัยของครอบครัวมิชชันนารี [cite: 240]
  24. บ้านสองหลังที่สร้างอย่างรวดเร็วเป็นโรงนาหยาบ ๆ บนที่ดินผืนนี้ กลายเป็นที่อยู่ของครอบครัวศาสนาจารย์ทั้งสอง [cite: 240]

🌟 ส่วนที่ 2: หมอบรัดเลย์: แพทย์ผู้บุกเบิกและผู้ให้ (The Great Pioneer: Dr. Bradley)

ถ้าพูดถึงมิชชันนารีในสยาม ไม่มีใครไม่รู้จักชายผู้ทุ่มเทให้กับงานทางการแพทย์และการพิมพ์ท่านนี้!

  1. นายแพทย์ แดน บีช บรัดเลย์, เอ็ม. ดี. (Dr. Dan Beach Bradley) และภรรยา เดินทางมาพร้อมกับครอบครัว ศาสนาจารย์วิลเลียม ดีน (คณะแบ๊บติสท์) ในช่วงฤดูร้อนของปี 1834 [cite: 240, 241]
  2. ทั้งหมดต้องรออยู่ที่สิงคโปร์นาน ทำให้ทารกสองคนถือกำเนิดที่นั่น [cite: 241]
  3. ทารกชายของครอบครัวบรัดเลย์มีชีวิตอยู่ได้เพียงไม่กี่ชั่วโมง [cite: 241]
  4. ภรรยาของ Dr. Dean ป่วยหนักและกำลังจะเสียชีวิต [cite: 245]
  5. การทดลองที่กล้าหาญครั้งแรก: Dr. Bradley พยายามทดลองใช้โลหิตของสามีเพื่อช่วยชีวิตภรรยาที่กำลังจะตาย แม้ว่าในยุคนั้น “วิทยาศาสตร์การแพทย์ยังไม่เปิดให้การถ่ายโลหิตเป็นเรื่องปกติ” [cite: 245]
  6. ทารกหญิงชื่อ มาทิลดา ดีน รอดชีวิต แต่ผู้เป็นมารดาเสียชีวิต [cite: 245]
  7. หมอบรัดเลย์กับภรรยาจึงรับอุปการะ มาทิลดา ดีน ไว้เป็นลูกบุญธรรม [cite: 245]
  8. หมอบรัดเลย์และครอบครัวเดินทางถึงสยามในวันที่ 18 กรกฎาคม ค.ศ. 1835 [cite: 245]
  9. พวกเขาถูกกำหนดให้มีบทบาทสำคัญยิ่งในงานเผยแพร่ศาสนาในอาณาจักรสยาม [cite: 245]
  10. เมื่อเดินทางมาถึง หมอบรัดเลย์ได้เปิด ห้องพยาบาล ขึ้นห้องหนึ่งที่ด้านล่างของบ้านจอห์นสัน [cite: 246]
  11. ท่านทุ่มเททำงานด้วยความศรัทธา ความกระตือรือร้น และความแข็งขัน โดยไม่ย่อท้อต่อความเจ็บป่วยหรืออากาศร้อน [cite: 246]
  12. งานของท่านรวมถึง การสอนศาสนา, เขียนหนังสือ, แปล, พิมพ์, และงานด้านการแพทย์ [cite: 246]
  13. Dr. Bradley ทำงานอย่างไม่หยุดยั้งจนกระทั่งถึงแก่กรรมในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1873—รวมระยะเวลาการทำงานในสยามถึง 38 ปี [cite: 246]
  14. เพียง 10 วันหลังจากท่านเดินทางมาถึงสยาม ท่านก็ได้รับสารจากพระศรีพิพัฒ (ต่อมาคือสมเด็จองค์น้อย) [cite: 249]
  15. สารดังกล่าวเป็นพระราชประสงค์ของพระเจ้าแผ่นดินให้ท่านใช้ความรู้แพทย์รักษา ทาส และ เชลย ที่ล้มป่วยด้วยโรคฝีดาษกับอหิวาตกโรค [cite: 249]
  16. เชื้อพระวงศ์ผู้แปลพยายามอธิบายอย่างระมัดระวังว่า นี่เป็นการขอให้ทดสอบทักษะของแพทย์ใหม่ ก่อนจะให้รักษาเจ้านายชั้นสูง [cite: 249]
  17. การแพทย์ vs. โหราศาสตร์: ผู้แปลชาวสยามมีความรู้สึกไม่ดีต่อทักษะของหมอบรัดเลย์ เพราะท่านยอมรับว่า “ไม่สามารถบอกได้ว่าคนไข้จะหายหรือไม่ ถ้าเพียงแต่ใช้สายตามองเท่านั้น” [cite: 249]
  18. นี่เป็นเรื่องที่แพทย์ชาวสยามในขณะนั้นที่ผสมผสานการแพทย์กับโหราศาสตร์สามารถทำได้ [cite: 249]
  19. หมอบรัดเลย์ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาการยอมรับจากพระมหากษัตริย์ เพราะห้องพยาบาลของท่านเป็นที่รู้จักดีอยู่แล้ว [cite: 249]
  20. ห้องพยาบาลของท่านมีคนไข้มาตรวจรักษาประมาณ 100 คนต่อวัน [cite: 249]
  21. คนไข้ส่วนใหญ่คือชาวจีน ทำให้คุณจอห์นสันใช้โอกาสนี้สอนศาสนาแก่พวกเขาได้ด้วย [cite: 249]
  22. หมอบรัดเลย์เป็นคนที่มีการจัดการที่ดี สามารถดูแลคนไข้จำนวนมากได้อย่างง่ายดาย [cite: 250]
  23. องค์กรเล็กๆ ที่ยิ่งใหญ่: งานประจำวันมีการแบ่งหน้าที่ชัดเจน: ภรรยาและผู้ช่วยหญิงดูแลยาฝ่ายหญิง, นายจอห์น (คนจีน) ดูแลฝ่ายชาย, หมอบรัดเลย์คุมภาพรวม, และ ครูชาวสยาม คอยเขียนข้อความจากพระคัมภีร์บนด้านหลังกระดาษที่แจกให้กับคนไข้ [cite: 251]

🌊 ส่วนที่ 3: วิกฤตและการเดินทางครั้งใหม่ (The Crisis and New Mission Center)

ความนิยมที่เพิ่มขึ้นทำให้เกิดความริษยา และเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็บังคับให้พวกเขาต้องย้ายฐานปฏิบัติการ!

  1. ความนิยมที่เพิ่มขึ้นของหมอสอนศาสนาและการช่วยเหลือผู้คนอย่างเปิดกว้าง ทำให้เกิดความริษยาในหมู่คน [cite: 252]
  2. นายกลิ่น (เจ้าของที่ดิน) เริ่มกลัวพระราชอำนาจ เพราะให้ชาวต่างชาติเช่าที่ดินโดยไม่ได้รับอนุญาต จึงเร่งเร้าให้ย้ายออก [cite: 252]
  3. พวกมิชชันนารีพยายามขอความเห็นชอบจากกรมพระคลังเพื่อพำนักต่อ โดยได้รับความช่วยเหลือจากคุณฮันเตอร์ พ่อค้าอังกฤษผู้มีอิทธิพล [cite: 252, 255]
  4. เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันเมื่อกัปตันเวลล่าร์ เพื่อนของคุณฮันเตอร์ ได้เข้าไป ยิงนกหลายตัวในเขตวัด (วัดเกาะ) [cite: 255]
  5. พระภิกษุพากันตื่นตระหนก เพราะศาสนาพุทธสอนเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ของทุกชีวิต การกระทำนี้จึงถือเป็นการดูหมิ่นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ [cite: 255]
  6. กัปตันเวลล่าร์ถูกทำร้ายอาการสาหัส [cite: 255]
  7. คุณฮันเตอร์ยื่นข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลสยาม และถึงกับ ข่มขู่ที่จะให้อังกฤษยึดสยามเป็นเมืองขึ้น เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้เพื่อน [cite: 255]
  8. แม้หมอสอนศาสนาจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่เหตุการณ์นี้ก็ไม่ได้ช่วยสนับสนุนฝ่ายพวกเขาเลย [cite: 255]
  9. หลังเจรจาเกือบหนึ่งเดือน ทางสยามยื่นคำขาดให้พวกเขาย้ายออกจากที่ดินภายใน 5 วัน [cite: 255]
  10. เหตุผลเร่งด่วนคือ พระเจ้าแผ่นดินจะเสด็จพระราชดำเนินมายังตลาดวัดเกาะพอดี [cite: 255]
  11. ช่วงเวลานั้นเป็นเวลาที่น่าเศร้าและทุกข์ใจอย่างยิ่ง เพราะต้องหาที่พักให้กับครอบครัวถึงสามครอบครัว [cite: 255]
  12. ยิ่งไปกว่านั้น ทารกหญิงของครอบครัวจอห์นสันกำลังนอนป่วยหนัก [cite: 255]
  13. พวกเขาตัดสินใจย้ายออกในวันที่ 5 ตุลาคม ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่ได้รับอนุญาต [cite: 255]
  14. ในวันถัดมา (6 ตุลาคม) หนูน้อยแมรี่ จอห์นสัน ลูกสาววัยทารกก็ได้เสียชีวิตลง [cite: 255]
  15. แมรี่ จอห์นสัน ถูกฝังอยู่ข้างหลุมศพของภรรยา Mr. Gutzlaff และลูกๆ ของมิชชันนารีท่านอื่น [cite: 255]
  16. ครอบครัวโรบินสันย้ายไปอยู่ที่บ้านโปรตุเกสเล็ก ๆ ใกล้คณะแบ๊บติสท์ [cite: 255]
  17. ครอบครัวจอห์นสันย้ายไปอยู่ เรือนแพ ที่จอดอยู่หน้าโบสถ์ซันตา ครูช [cite: 255]
  18. หมอบรัดเลย์ ภรรยา และมาทิลดา (ลูกบุญธรรม) เช่าบ้านหลังเล็กอยู่ในหมู่บ้านคาทอลิกซันตา ครูช [cite: 255]
  19. เรือนแพที่จอห์นสันซื้อไว้ถูกใช้เป็น สถานพยาบาลลอยน้ำ (Floating Dispensary) [cite: 255]
  20. บ้านที่หมอบรัดเลย์เช่าอยู่มีขนาดเพียง 12 x 25 ฟุต แต่พวกเขาได้ต่อเฉลียงเพิ่มเพื่อใช้เป็นห้องพยาบาล [cite: 255, 259]
  21. สถานที่แห่งใหม่ที่เลือกเป็นของกรมพระคลัง ตั้งอยู่ตรงข้ามลำคลองใกล้บ้านเช่าของหมอบรัดเลย์ [cite: 260]
  22. กรมพระคลังสัญญาว่าจะสร้างบ้านให้สองหลัง โดยจ่ายค่าเช่าเดือนละ 65 บาท [cite: 260]
  23. บ้านหลังใหม่เป็นบ้านไม้ทรงสูงสองชั้น หลังคามุงกระเบื้อง แม้จะสร้างอย่างหยาบ ๆ แต่ก็อยู่สบาย [cite: 260]
  24. บ้านทั้งสองหลังสร้างเสร็จในปี ค.ศ. 1838 และเป็นที่ตั้งของคริสตจักรคอนเกร็กเกชันแนลนานถึง 15 ปี [cite: 260]

💡 ส่วนที่ 4: การปฏิรูปทางการแพทย์และการพิมพ์ (Medical & Printing Revolution)

การแพทย์แผนใหม่และการพิมพ์กลายเป็นอาวุธสำคัญที่มิชชันนารีใช้ในการเปลี่ยนแปลงสยาม!

  1. มิตรภาพที่ดีก่อตัวขึ้นระหว่าง หมอบรัดเลย์ กับ หลวงนายสิทธิ์ บุตรชายของกรมพระคลัง [cite: 261]
  2. หลวงนายสิทธิ์เป็นผู้สร้าง เรือใบสองเสาลำแรกในสยาม ชื่อว่า “อารีล” ในปี ค.ศ. 1835 [cite: 261]
  3. หมอบรัดเลย์เคยป่วยเป็นโรคบิดอย่างหนัก ต้องใช้เวลาถึง 4 ปีจึงจะสามารถรักษาให้หายขาดได้ [cite: 261]
  4. Dr. Bradley นำ แท่นพิมพ์ ของคณะ ABCFM จากสิงคโปร์มายังบางกอกด้วย [cite: 262]
  5. ท่านใช้เวลาถึงหนึ่งปีหลังจากมาถึงสยามจึงสามารถตั้งโรงพิมพ์และเริ่มพิมพ์งานได้ [cite: 262]
  6. สิ่งพิมพ์ยุคแรกๆ: งานพิมพ์ชุดแรกในภาษาสยามคือแผ่นพิมพ์ 8 หน้าเกี่ยวกับเรื่องย่อของบัญญัติสิบประการ, บทสวดสั้น ๆ และเพลงอนุโมทนา [cite: 262]
  7. ตัวอักษร (Siamese types) ที่ใช้ทำมาจากเบงกอล และทั้งแท่นพิมพ์กับตัวอักษรก็ถูกวิจารณ์ว่า “น่าเกลียดมาก” [cite: 262]
  8. ในปี ค.ศ. 1836 คณะมิชชันแบ๊บติสท์ได้รับแท่นพิมพ์ที่มีเครื่องไม้เครื่องมือพร้อมบริบูรณ์ก่อน [cite: 265]
  9. ในปีต่อมา (ค.ศ. 1837) คณะ ABCFM ก็ได้รับแท่นพิมพ์ใหม่สองแท่นที่สมบูรณ์แบบ [cite: 265]
  10. งานพิมพ์ถือเป็น “องค์ประกอบสำคัญยิ่ง” ต่องานพันธกิจคริสตจักรในสยาม [cite: 266]
  11. สำนักพิมพ์ของมิชชันนารีเป็นผู้พิมพ์ พระราชกฤษฎีกาประกาศเลิกฝิ่น ของรัฐบาลสยาม ในวันที่ 27 เมษายน ค.ศ. 1839 [cite: 266]
  12. พระราชกฤษฎีกาเลิกฝิ่นฉบับนี้นับเป็น เอกสารรัฐบาลฉบับแรกที่พิมพ์ในอาณาจักรสยาม โดยพิมพ์จำนวน 9,000 ฉบับ [cite: 266]
  13. การผ่าตัดครั้งแรกในสยาม: ในปี ค.ศ. 1837 มีงานฉลองถวายวัดของกรมพระคลังเกิดปืนระเบิด มีผู้บาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก [cite: 267]
  14. คืนนั้น หมอบรัดเลย์ประสบความสำเร็จในการ ตัดแขนของพระภิกษุรูปหนึ่ง [cite: 267]
  15. การผ่าตัดแบบสมัยใหม่ครั้งนี้ เชื่อกันว่าเป็นการกระทำเป็นครั้งแรกในอาณาจักรสยาม [cite: 267]
  16. ผู้คนต้องการยารักษาโรคและหนังสือสอนศาสนาที่แจกจ่ายฟรีจากหมอสอนศาสนาอย่างมาก [cite: 268]
  17. ในช่วงปีแรกๆ คนสยามไม่ให้ความสนใจการเปลี่ยนศาสนา เพราะ ความเกรงกลัวต่อโทษทัณฑ์จากพระเจ้าแผ่นดิน [cite: 268]
  18. ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงก่อนที่จะมีการออกพระราชกฤษฎีกาเกี่ยวกับ เสรีภาพทางศาสนา [cite: 268]
  19. คนจีนที่เข้ามาตั้งรกรากในสยามมีความกลัวน้อยกว่า และได้รับเสรีภาพทางมโนธรรมอย่างเต็มที่ [cite: 269]
  20. มีเพียงความไม่พอใจจากญาติพี่น้องเท่านั้นที่คนจีนเกรงกลัวหากเปลี่ยนศาสนา จึงมีการเปลี่ยนศาสนาในหมู่คนจีน [cite: 269]
  21. คริสตจักรแบ๊บติสท์จีนแห่งแรกถูกจัดตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1837 โดยมีสมาชิก 11 คน [cite: 269]

🩺 ส่วนที่ 5: การต่อสู้กับโรคระบาดและการเปลี่ยนแปลงสู่ยุคใหม่ (Vaccination and Legacy)

การต่อสู้กับโรคฝีดาษคือเครื่องพิสูจน์ความอดทน และการสอนเจ้าฟ้ามงกุฎคือจุดเปลี่ยนสำคัญของประเทศ!

  1. ปี ค.ศ. 1838 เป็นปีที่ Dr. Bradley ประสบความสำเร็จเป็นครั้งแรกในการ ปลูกฝีป้องกันฝีดาษ (Smallpox Vaccination) [cite: 273]
  2. โรคฝีดาษระบาดอย่างรุนแรงในบางกอก และทำให้คนตายมากมายในทุก ๆ ปี [cite: 273]
  3. ความพยายามในการปลูกฝีมีมาหลายปีแต่ไม่สำเร็จ [cite: 273]
  4. พวกมิชชันนารีตัดสินใจปลูกฝีให้กับลูกของตนเองได้สำเร็จโดยนำเชื้อมาจากคนไข้ที่เป็นโรคฝีดาษ (ทำไปด้วยความสิ้นหวัง) [cite: 273]
  5. กษัตริย์ทรงสนพระทัย: สมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) ทรงสนใจอย่างยิ่ง และทรงส่งหัวหน้าหมอหลวงไปพบแพทย์ของมิชชันนารีเพื่อศึกษาการปลูกฝี [cite: 273]
  6. ในปีถัดมา พระองค์พระราชทานเงินพิเศษหลายพันบาทแก่หมอหลวงและหมอบรัดเลย์สำหรับงานปลูกฝีร่วมกันเป็นเวลาสามเดือน [cite: 273]
  7. ความสำเร็จครั้งใหญ่: ปี ค.ศ. 1840 นับว่าเป็นปีที่การปลูกฝีประสบความสำเร็จอย่างแท้จริงในอาณาจักรสยาม [cite: 273]
  8. จุดเปลี่ยนทางการเมือง: ในปี ค.ศ. 1845 เจ้าฟ้ามงกุฎ (ต่อมาคือ รัชกาลที่ 4) ทรงเชิญ ศาสนาจารย์ เจสซี คาสเวลล์ มาเป็นพระอาจารย์ส่วนพระองค์ [cite: 282]
  9. การสอนศาสนาในวัง: เจ้าฟ้ามงกุฎทรงกระตือรือร้นที่จะศึกษามากจนถึงกับอนุญาตให้ Mr. Caswell ใช้ห้องในบริเวณวัดบวรนิเวศ (ที่พระองค์เป็นเจ้าอาวาส) เป็นที่สอนศาสนาและแจกจ่ายหนังสือได้ [cite: 282]
  10. การสอนนี้ดำเนินไปกว่าหนึ่งปีครึ่ง ซึ่งเชื่อมโยงอนาคตของสยามเข้ากับครูสอนศาสนาผู้เคร่งครัดและนักเรียนผู้ขยันขันแข็ง [cite: 283]
  11. ศาสนาจารย์ คาสเวลล์ ได้ถวายงานแก่เจ้าฟ้ามงกุฎในครั้งยังทรงผนวช โดยเสนอแนวคิดเสรีนิยมที่รัฐบาลควรมี รวมถึง เสรีภาพทางศาสนา [cite: 290]
  12. เมื่อจีนเริ่มเปิดประเทศในปี ค.ศ. 1846 คณะ ABCFM ตัดสินใจยุบหน่วยงานพันธกิจฝ่ายจีนในสยาม [cite: 286, 287]
  13. ศาสนาจารย์ จอห์นสัน และ พีต ถูกส่งไปจัดตั้งงานพันธกิจใหม่ที่เมืองฝูโจว ประเทศจีน [cite: 287]
  14. ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1848 คณะ ABCFM ประสบความสูญเสียอย่างสุดซึ้งจากการเสียชีวิตของ ศาสนาจารย์ เจสซี คาสเวลล์ [cite: 290]
  15. ในปี ค.ศ. 1847 หมอบรัดเลย์และลูกกำพร้าแม่สามคนเดินทางกลับไปสหรัฐฯ เพื่อเยี่ยมบ้านเกิด [cite: 288]
  16. คณะหมอสอนศาสนาเพรสไบทีเรียนกลุ่มใหม่ ซึ่งรวมถึง ซามูเอล เฮาส์ (Dr. House) ได้เดินทางมาถึงสยามเพื่อเปิดงานสอนศาสนาขึ้นใหม่ [cite: 288]
  17. Dr. House ต้องเปิดสถานพยาบาลของหมอบรัดเลย์ที่ปิดไปขึ้นมาใหม่ โดยดำเนินงานบน โอสถศาลาลอยน้ำ (Floating Dispensary) [cite: 289]
  18. มรสุมแห่งการสูญเสีย: ในช่วง ค.ศ. 1841-1845 คณะมิชชันนารีสูญเสียบุคลากรหลายคน: ภรรยา Mr. Benham กลับไปสหรัฐฯ, Mrs. Johnson เสียชีวิตจากโรคสมอง, Mr. French เสียชีวิตด้วยวัณโรค, Miss Pierce (มิชชันนารีหญิงโสดคนแรก) เสียชีวิตด้วยวัณโรค, Mr. Robinson เสียชีวิตขณะเดินทางกลับอเมริกา, และ Mrs. Bradley ก็เสียชีวิตในบางกอกด้วยวัณโรค [cite: 281]
  19. การสูญเสียครั้งใหญ่เหล่านี้ทำให้คนทำงานลดน้อยลงมาก ในช่วงเวลาที่ควรจะก้าวไปข้างหน้า [cite: 281]

CH4


สรุป 53 เรื่องน่ารู้! ยุคบุกเบิกของมิชชันนารีในสยาม (ค.ศ. 1840-1860)

Section 1: ⚓ การมาถึงของคณะเพรสไบทีเรียน (The Great Beginning)

นี่คือจุดเริ่มต้นของการทำงานของคณะเพรสไบทีเรียนในบางกอก ซึ่งต้องเจอทั้งความสำเร็จและความล้มเหลวชั่วคราว

  1. จุดเริ่มต้นในสิงคโปร์: ศาสนาจารย์ โรเบิร์ต ดับบลิว. ออร์ ซึ่งเป็นมิชชันนารีเพรสไบทีเรียนชาวจีนคนแรก แต่ประจำอยู่ที่สิงคโปร์ ได้เดินทางมาเยือนสยามในปี ค.ศ. 1838 [cite: 250]
  2. ผู้เสนอไอเดีย: ท่านออร์สนับสนุนอย่างเต็มที่ให้เปิดงานพันธกิจในบางกอก โดยแบ่งเป็นสองส่วน คือ สำหรับชาวจีนและสำหรับชาวสยาม [cite: 250]
  3. ทีมบุกเบิกคนแรก: ศาสนาจารย์ วิลเลียม พี. บูเอล และภรรยา เป็นบุคคลแรกที่ได้รับการแต่งตั้งให้มาจัดตั้งศูนย์พันธกิจเพรสไบทีเรียนใหม่ [cite: 251]
  4. มาถึงบางกอก: คุณบูเอลกับภรรยาเดินทางมาถึงบางกอกในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1840 [cite: 251]
  5. ไม่ใช่คนแรก: ก่อนหน้าเพรสไบทีเรียน มีคณะมิชชันคอนเกร็กเกชันแนลมาก่อน 9 ปี และคณะมิชชันแบ๊บติสท์มาก่อน 7 ปีแล้ว [cite: 252]
  6. รวมตัวกันเยอะ: ในช่วงนั้น มีหมอสอนศาสนาจากสองคณะแรก (คอนเกร็กเกชันแนลและแบ๊บติสท์) ในบางกอกไม่น้อยกว่า 24 คน [cite: 252]
  7. สนิทกันนะ: แม้คณะมิชชันแต่ละแห่งจะแยกทำงานกันอย่างเป็นอิสระ แต่ก็มี “สายสัมพันธ์อันใกล้ชิด” ต่อกัน [cite: 252]
  8. บ้านหมุนเวียน: ในช่วงแรกๆ การประกอบพิธีทางศาสนาในภาษาอังกฤษประจำสัปดาห์ จะจัดหมุนเวียนกันไปตามบ้านของหมอสอนศาสนา [cite: 253]
  9. เก่งภาษา: คุณบูเอลอุทิศเวลาเรียนภาษาสยามจนสามารถเทศนาและอธิบายพระคัมภีร์ได้ [cite: 257]
  10. ปัญหาครอบครัว: คุณบูเอลกับภรรยาต้องตัดสินใจเดินทางกลับอเมริกาอย่างไม่เต็มใจนัก เพราะภรรยาป่วยเป็นอัมพาต [cite: 257]
  11. เรือเที่ยวประวัติศาสตร์: ในปี ค.ศ. 1844 คุณบูเอลกับภรรยาได้โดยสาร “เรือกลไฟลำแรก” ที่เดินทางมาถึงสยาม เพื่อเดินทางกลับ [cite: 258]
  12. งานหยุดชั่วคราว: การเดินทางกลับของทั้งสองท่านในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1844 ทำให้คณะมิชชันเพรสไบทีเรียนในสยามต้องสิ้นสุดลงชั่วคราวเป็นเวลาถึง 3 ปี [cite: 258, 259]

Section 2: 🇹🇭 สยามยุคระส่ำระสาย (The Troubled Reign)

ในช่วงที่มิชชันนารีเข้ามาตรงกับรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) ซึ่งเป็นยุคที่บ้านเมืองไม่สงบนัก

  1. รัชสมัย 23 ปี: พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงครองราชย์ 23 ปี ซึ่งถูกเรียกว่าเป็นช่วงเวลาแห่ง “ความยุ่งเหยิง” [cite: 265]
  2. กลัวต่างชาติ: ความยุ่งเหยิงส่วนหนึ่งมาจากการที่ทรงเกรงว่าอังกฤษจะขยายตัวเข้ามา เพราะอังกฤษเพิ่งยึดพม่าในปี ค.ศ. 1824 [cite: 265, 268]
  3. ตัวอย่างความวุ่นวาย (1) กบฏจีน: มีการก่อกบฏของคนจีนที่จันทบุรี (ค.ศ. 1842) และการลุกฮือที่ปากแม่น้ำหลายแห่ง เช่น นครชัยศรีและฉะเชิงเทรา [cite: 265]
  4. ตัวอย่างความวุ่นวาย (2) กบฏลาว: มีกบฏจากฝ่ายลาว เช่น เจ้าเวียงจันทน์ (ค.ศ. 1826) และหลวงพระบาง (ค.ศ. 1835) [cite: 265]
  5. ตัวอย่างความวุ่นวาย (3) กบฏรอบข้าง: มีการก่อการกบฏของเขมรกับญวน (ค.ศ. 1833) และโจร สลัดมาเลย์ (ค.ศ. 1838) [cite: 265]
  6. 11 ครั้งใน 23 ปี: ใน 23 ปีนั้น มีการก่อกบฏครั้งสำคัญๆ ไม่น้อยกว่า 11 ครั้ง ทำให้การดำรงอยู่ของราชบัลลังก์ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย [cite: 265]
  7. หวาดระแวงชาวต่างชาติ: เหตุการณ์วุ่นวายเหล่านี้ยิ่งเพิ่มความหวาดระแวงที่พระมหากษัตริย์ทรงมีต่อชาวต่างชาติภายในราชอาณาจักร [cite: 268]
  8. จำใจเซ็นสัญญา: สยามทำสนธิสัญญาทางการค้ากับอังกฤษและสหรัฐอเมริกา “อย่างไม่เต็มใจนัก” เพียงเพื่อรักษาสันติภาพกับมหาอำนาจตะวันตก [cite: 268]
  9. ทำดีก็ถูกสงสัย: การที่หมอสอนศาสนาทำความดีและแจกจ่ายหนังสือตลอดเวลา ถูกมองว่า “ดูประหลาดและไม่อาจให้คำอธิบายได้” ทำให้ถูกมองอย่างกังขาโดยรัฐบาล [cite: 269]

Section 3: 🚀 ทีมถาวรและการพลิกเกม (The Permanent Team)

หลังจากงานหยุดไป 3 ปี คณะเพรสไบทีเรียนก็กลับมาอีกครั้งอย่างแข็งแกร่ง และกลายเป็นกำลังหลักในสยาม

  1. ทีมชุดใหม่มาแล้ว: ภารกิจการดำเนินงานอย่างถาวรตกเป็นของ ศาสนาจารย์ สตีเฟน มัตตูน, ภรรยา, และนายแพทย์ ซามูเอล อาร์. เฮาส์ [cite: 260]
  2. เดินทาง 8 เดือน: พวกเขาล่องเรือจากนิวยอร์คในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1846 และมาถึงบางกอกในวันที่ 22 มีนาคม ค.ศ. 1847 ใช้เวลานานถึง 8 เดือน [cite: 260]
  3. ได้รับการต้อนรับ: หมอสอนศาสนารุ่นใหม่ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากคณะมิชชันที่อยู่ก่อนแล้ว (เอ.บี.ซี.เอฟ.เอ็ม. และแบ๊บติสท์) [cite: 288]
  4. เข้าเฝ้าบุคคลสำคัญ: พวกเขาได้เข้าเฝ้า “กรมพระคลัง” และที่สำคัญคือ “เจ้าฟ้ามงกุฎ (เจ้าฟ้าพระภิกษุ)” ที่วัดบวรนิเวศ [cite: 289]
  5. คนเมตตา: เจ้าฟ้ามงกุฎ (ต่อมาคือ รัชกาลที่ 4) ทรงมีพระเมตตาต่อคณะผู้มาใหม่กลุ่มนี้เป็นพิเศษ [cite: 289]
  6. กำลังเสริมแรก: ในปี ค.ศ. 1849 คณะเพรสไบทีเรียนก็ได้รับกำลังเสริมกลุ่มแรกคือ ศาสนาจารย์ สตีเฟน บุช และภรรยา [cite: 294]
  7. ทีมแพทย์กลับมา: ในปี ค.ศ. 1850 ศาสนาจารย์ นายแพทย์บรัดเลย์ก็เดินทางกลับมาพร้อมกับภรรยาใหม่และครอบครัว [cite: 310]
  8. กิ่งไม้ใหญ่: คณะเพรสไบทีเรียนค่อยๆ เติบโตจนเป็น “กิ่งไม้ที่เติบใหญ่” และกลายเป็นหลักสำคัญของคณะมิชชันในสยามไปจนถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 [cite: 281]

Section 4: ⚕️ งานการแพทย์และโรงพิมพ์ (Healing and Printing)

มิชชันนารีใช้การแพทย์สมัยใหม่และงานพิมพ์เป็นเครื่องมือสำคัญในการเผยแพร่ศาสนา

  1. ผู้บุกเบิกการแพทย์: งานด้านการแพทย์ต่างชาติซึ่งถูกนำเข้ามาโดย หมอบรัดเลย์ ได้กลายเป็น “พื้นฐานสำคัญของการแพทย์แผนใหม่” ในสยาม [cite: 278, 279]
  2. คลินิกลอยน้ำ: เมื่อหมอเฮาส์มาถึง คนป่วยหลั่งไหลกันมาขอรักษา จนท่านต้องเปิด “ห้องพยาบาลลอยน้ำ” ขึ้นมาใหม่ [cite: 290, 292]
  3. ยอดคนไข้สูงลิ่ว: ในช่วง 18 เดือนแรก หมอเฮาส์รักษาคนป่วยไปถึง 3,117 คน [cite: 292]
  4. แรงกดดัน: ภาระการดูแลคนป่วยหนักเกือบทำให้หมอเฮาส์แบกไม่ไหว จนต้องเลิกงานด้านการแพทย์ชั่วคราวก่อนจะได้รับความช่วยเหลือ [cite: 292]
  5. คนไข้เปลี่ยนไป: คนไข้ส่วนใหญ่ของหมอเฮาส์เป็น ชาวสยาม ซึ่งต่างจากประสบการณ์แรกๆ ของมิชชันนารีที่ส่วนใหญ่เป็นชาวจีน [cite: 309]
  6. งานแปลระดับมาสเตอร์: หมอบรัดเลย์, ตร. โจนส์, และคุณโรบินสัน มีบทบาทสำคัญในการแปลและเขียนตำราเป็น ภาษาสยาม [cite: 272]
  7. ผลิตงานเพียบ: โรงพิมพ์ของคณะมิชชันแบ๊บติสท์และคอนเกร็กเกชันแนลมีเครื่องมือครบครันและผลิตงานพิมพ์ออกมาเป็นจำนวนมาก [cite: 270, 272]
  8. ตัวอย่างงานพิมพ์: มีการพิมพ์งานแปลพระคัมภีร์ใหม่ (เช่น ฉบับของแบ๊บติสท์), งานเขียนเกี่ยวกับชีวิตพระเยซูคริสต์, และประวัติบุคคลสำคัญในพระคัมภีร์เก่า (เช่น โยเซฟ, โมเสส) [cite: 272, 277]
  9. แจกหนัก: มีการซื้อเอกสารถึง 554,500 แผ่น จากโรงพิมพ์อื่นๆ มาเพื่อแจกจ่ายให้กับผู้คน [cite: 306]
  10. พระภิกษุกระตือรือร้น: คุณมัตตูนไปเยี่ยมวัดหลายแห่งเพื่อแจกจ่ายงานเขียน และพบว่า “พระภิกษุ” คือกลุ่มที่กระตือรือร้นจะรับงานเขียนเหล่านี้มากที่สุด [cite: 292]
  11. ศูนย์กระจายหนังสือ: คุณมัตตูนต้อนรับผู้คนที่มาขอรับหนังสือที่ศูนย์มิชชัน วันละประมาณ 15-20 คน (ยกเว้นช่วงที่อหิวาตกโรคระบาด) [cite: 306]
  12. ไปไกลถึงต่างจังหวัด: มีการเดินทางไปแจกจ่ายหนังสือตามหัวเมืองต่างๆ เช่น เพชรบุรี, อยุธยา, พระบาทสระบุรี, และประทิว [cite: 293]
  13. อ่านเพิ่ม: มีหลักฐานว่าความต้องการด้านการอ่านเพิ่มสูงขึ้นในบริเวณที่งานพิมพ์แพร่หลายมากที่สุด [cite: 309]
  14. ค่าใช้จ่ายยุคบุกเบิก: เงินเดือนของคุณบูเอลและภรรยาถูกกำหนดไว้ที่ 600 ดอลลาร์ต่อปี และเพิ่มอีก 50 ดอลลาร์ต่อปีสำหรับลูกแต่ละคน [cite: 283]
  15. งบประมาณรวม: งบประมาณทั้งหมดต่อหนึ่งปีโดยประมาณคือ 1,500 ดอลลาร์สหรัฐฯ (รวมเงินเดือน, ค่าเช่าบ้าน, ค่าจ้างครู, เบ็ดเตล็ด) [cite: 284]

Section 5: 💀 วิกฤตโรคระบาดและการสืบทอดงาน (Crisis and Succession)

การทำงานของมิชชันนารีเกิดขึ้นในช่วงที่เกิดโรคระบาดใหญ่ และเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านสำคัญของคณะมิชชันต่างๆ

  1. มหาภัยอหิวาตกโรค: ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1849 อหิวาตกโรคระบาดอย่างหนักในบางกอก [cite: 294]
  2. ผู้เสียชีวิตมหาศาล: มีผู้คนในบางกอกล้มตายถึง 35,000 ถึง 40,000 คน [cite: 294]
  3. จุดพีค: ในช่วงที่โรคระบาดสูงสุด มีผู้เสียชีวิตถึง 2,000 คน ภายใน 24 ชั่วโมง ในเขตบางกอกเดียว [cite: 294]
  4. ช่วยเหลือทุกชนชั้น: หมอในคณะมิชชันทุ่มเทรักษาผู้ป่วยทั้งในพระราชวังและในกระต๊อบไม้ไผ่ [cite: 298]
  5. สร้างมิตรภาพ: การรักษาผู้คนมากมายให้รอดชีวิต มีผลต่อการสร้าง “มิตรภาพชั่วชีวิตของทั้งสองฝ่าย” [cite: 298]
  6. ศรัทธาจากหนังสือ: ผู้เสียชีวิตที่เป็นคริสตศาสนิกชนเพียงคนเดียวจากโรคระบาดนี้ ได้เรียนรู้ความเชื่อจากการ อ่านพระคัมภีร์และหนังสือ โดยที่ไม่เคยพบครูสอนศาสนามาก่อน [cite: 298]
  7. คณะอื่นปิดตัว: คณะมิชชันคอนเกร็กเกชันแนล (เอ.บี.ซี.เอฟ.เอ็ม.) และแบ๊บติสท์ประสบปัญหาจนมีฐานะง่อนแง่นและเกือบต้องปิดตัวลง [cite: 280]
  8. เพรสไบทีเรียนรับช่วงต่อ: การที่สมาชิกสุดท้ายของคณะคอนเกร็กเกชันแนลเดินทางกลับอเมริกา ทำให้คณะเพรสไบทีเรียนซึ่งอาศัยอยู่ในที่ดินเดิม ถือเป็นผู้ “รับช่วงงาน” ต่อไปโดยปริยาย [cite: 301, 302]
  9. คริสตจักรแรก: กลุ่มหมอสอนศาสนาเพรสไบทีเรียนกลุ่มเล็กๆ ได้รวมตัวกันเพื่อก่อตั้ง คริสตจักรเพรสไบทีเรียนแห่งแรก ขึ้นในบางกอก [cite: 303]

Ch5


🧭 Section 1: ก้าวสู่ “ยุคขยายงาน” (The New Mission Era)

นี่คือจุดเปลี่ยนสำคัญของคณะหมอสอนศาสนาในสยาม เมื่อภารกิจไม่ได้จำกัดอยู่แค่กรุงเทพฯ อีกต่อไป

  1. จุดสิ้นสุดของยุคบุกเบิก: ปี ค.ศ. 1860 ถือเป็นปีสิ้นสุดของ “ยุคบุกเบิก” อย่างไม่เป็นทางการ[cite: 142].
  2. จุดเริ่มต้นยุคใหม่: และเป็นปีเริ่มต้นของ “ยุคขยายงาน” ทันที เพื่อกระจายงานไปสู่พื้นที่ที่กว้างขึ้น[cite: 142].
  3. การเปลี่ยนผ่านแบบค่อยเป็นค่อยไป: การเปลี่ยนผ่านระหว่างยุคไม่ได้เกิดขึ้นแบบปุบปับ แต่เป็นเรื่องที่คลุมเครือและต้องค่อยเป็นค่อยไป[cite: 142]. (เปรียบเหมือนการปรับกระบวนทัพใหม่ ไม่ใช่แค่เปลี่ยนผู้นำ)
  4. สามทหารเสือผู้บุกเบิก: ในยุคแรก งานของคณะมิชชันเพรสไบทีเรียนรวมอยู่ที่บุคคลเพียงสามคน คือ ศาสนาจารย์ เอส. มัตตูน, ภรรยาของท่าน, และ ดร.เอส. อาร์. เฮาส์[cite: 142, 143].
  5. แบกภาระทั้งหมด: บุคคลทั้งสามต้องแบกภาระความวุ่นวายรายวันและเป็นผู้วางนโยบายของคณะมิชชันอยู่ตามลำพัง[cite: 143].
  6. ความโดดเดี่ยวของผู้กล้า: พวกเขาต้องเผชิญกับปัญหาและความท้อแท้กันเองในหมู่คณะ[cite: 143].
  7. คุณสมบัติของผู้นำ: ผู้บุกเบิกเหล่านี้ได้รับคำยกย่องในด้านความกล้าหาญ, ความอดทน, และความพากเพียรอุตสาหะ[cite: 143].
  8. กำลังเสริมมาแล้ว! การเริ่มต้น “ยุคขยายงาน” มาจากการเพิ่มจำนวนขึ้นของหมอสอนศาสนาที่เดินทางเข้ามาร่วมทีม[cite: 144, 145].
  9. แรงกระตุ้นแรกสุด: เมื่อมีกำลังเสริมมาแล้ว สิ่งที่ต้องทำเป็นอันดับแรกคือการ “ขยายงานออกไปให้กว้างขึ้น”[cite: 145].

🗺️ Section 2: การเปิดด่านแรกที่เพชรบุรี (Phetchaburi: The First Outpost)

เพชรบุรีคือศูนย์พันธกิจแห่งแรกที่เปิดนอกกรุงเทพฯ และกลายเป็นต้นแบบการทำงานในภูมิภาค

  1. เพชรบุรีในความสนใจ: หมอสอนศาสนาให้ความสนใจเพชรบุรีเป็นพิเศษในการก่อตั้งศูนย์พันธกิจ[cite: 149, 151].
  2. ร.4 กับเพชรบุรี: ใน ค.ศ. 1860 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) เสด็จฯ เพชรบุรีหลายครั้งและสร้างวัง/วัดที่นั่น[cite: 149, 150].
  3. เหตุผลที่มิชชันสนใจ: ความสนใจของหมอสอนศาสนาในเพชรบุรีไม่ได้มาจากความสนใจของกษัตริย์ แต่มาจากที่พวกเขาเคยเดินทางเข้าไปในราชอาณาจักรบ่อยครั้ง[cite: 151].
  4. สองสหายผู้ตั้งใจบุกเบิก: ใน ค.ศ. 1858-1859 สหายสองคนคือ ศาสนาจารย์ วิลสัน และ ศาสนาจารย์ แมคกิลวารี ตั้งใจอย่างแน่วแน่ที่จะเริ่มงานที่เพชรบุรี[cite: 151].
  5. ความฝันที่สะดุด: โอกาสในการทำงานเริ่มแรกหยุดลง เพราะการถึงแก่กรรมของภรรยาคุณวิลสันก่อนเวลาอันควร[cite: 151].
  6. ความรักเปิดทาง: หนทางแห่งศรัทธาเปิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อมิสบรัดเลย์แต่งงานกับคุณแมคกิลวารี[cite: 151].
  7. เปิดศูนย์อย่างเป็นทางการ: ศูนย์แห่งแรกนอกกรุงเทพฯ ถูกเปิดขึ้นอย่างเป็นทางการที่เพชรบุรีในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1861[cite: 152].
  8. ตัวช่วยกรุงเทพฯ: งานที่เพชรบุรีช่วย “ปลดเปลื้องอุปสรรคมากมายในบางกอก”[cite: 152].
  9. แนวโน้มดี: ศูนย์แห่งใหม่ที่เพชรบุรีมีแนวโน้มที่จะเจริญเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ[cite: 152].
  10. มิตรแท้จากรัฐบาล: ผู้ว่าราชการเพชรบุรีในขณะนั้น (ต่อมาคือ เจ้าพระยาภานุวงศ์มหาโกษาธิบดี) เป็น “มิตรที่ดียิ่ง” ของหมอสอนศาสนา[cite: 152].
  11. ผู้ว่าฯ ระดับอินเตอร์: ผู้ว่าราชการท่านนี้เคยดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตของสยามที่ราชสำนักอังกฤษ (เซนต์เจมส์)[cite: 152].
  12. ต่อมาเป็นเสนาบดี: และต่อมาท่านก็ดำรงตำแหน่งเป็นเสนาบดีกระทรวงต่างประเทศของสยาม[cite: 152].
  13. ช่วยเหลือทุกทาง: ท่านได้ช่วยหาที่ดินเพื่อตั้งศูนย์พันธกิจและให้ความช่วยเหลือในด้านอื่น ๆ นับไม่ถ้วน[cite: 152].
  14. ตัวอย่างความเมตตา (ฉุกเฉิน): ครั้งหนึ่งชีวิตหมอสอนศาสนาสตรีตกอยู่ในอันตราย ท่านได้ให้ยืมเรือแพของท่านพร้อมเพิ่มฝีพาย 1 เท่า เพื่อนำคนป่วยไปบางกอกอย่างด่วน[cite: 152]. (ความช่วยเหลือที่เร็วและเมตตา ช่วยชีวิตได้ทันท่วงที)
  15. ตั้งคริสตจักร: มีการตั้งคริสตจักร (โบสถ์) ขึ้นที่เพชรบุรีใน ค.ศ. 1863[cite: 152].
  16. ก้าวแรกของคนสยาม: ใน ค.ศ. 1867 คริสตจักรภาคเพรสไบทีเรียนได้แต่งตั้ง “ครูสอนศาสนาชาวสยามคนหนึ่ง” เป็นครั้งแรก[cite: 152].
  17. การขยายตัวที่แท้จริง: การแต่งตั้งครูสอนศาสนาชาวสยามคนนี้ ถือเป็นการดำเนินงาน “ก้าวแรกที่นำไปสู่ ‘การขยายตัว’” อย่างแท้จริง[cite: 153].

🖨️ Section 3: ภารกิจเครื่องพิมพ์ (The Spreading Power of the Press)

การสร้างโรงพิมพ์เป็นจุดขยายงานที่สำคัญขั้นที่สอง เพราะการเผยแพร่ศาสนาต้องอาศัยการอ่านและการพิมพ์เป็นหลัก

  1. การขยายงานขั้นที่สอง: คือการก่อตั้งโรงพิมพ์ของคณะมิชชันเพรสไบทีเรียนใน ค.ศ. 1861[cite: 154].
  2. โรงพิมพ์คู่แข่ง (รุ่นพี่): ก่อนหน้านั้น คณะมิชชันคอนเกเกชันแนลกับแบ๊บติสท์ได้ตั้งโรงพิมพ์ที่สมบูรณ์แบบไปก่อนแล้ว[cite: 154].
  3. ความสำคัญของโรงพิมพ์: โรงพิมพ์มีไว้สำหรับการพิมพ์พระคัมภีร์ที่แปลเป็นภาษาสยาม และงานด้านศาสนาอื่นๆ[cite: 154].
  4. ทำไมล่าช้า: คณะมิชชันเพรสไบทีเรียนเลื่อนการตั้งโรงพิมพ์ของตนออกไป เพราะมีโอกาสซื้องานพิมพ์จากมิชชันอื่นๆ ได้[cite: 158].
  5. ข้อจำกัด: การเลื่อนเกิดจากกำลังงานและเงินทุนที่จำกัดในตอนนั้นด้วย[cite: 158].
  6. เตรียมพร้อมเสมอ: แม้ไม่มีโรงพิมพ์ของตนเอง หมอสอนศาสนารุ่นแรกๆ ก็ยังคงแปล เขียน และพิมพ์เท่าที่จะทำได้กับโรงพิมพ์ที่มีอยู่[cite: 163].
  7. แรงใจจากต่างแดน: วารสารของคณะกรรมการฯ เคยพิมพ์จดหมายของเด็กเล็กๆ ที่ป่วยคนหนึ่งที่ส่งเงินจำนวนน้อยๆ เพื่อเก็บไว้ซื้อเครื่องพิมพ์[cite: 163]. (หลักฐานว่างานมิชชันได้รับแรงสนับสนุนจากคนทั่วโลก)
  8. ผู้ริเริ่มโรงพิมพ์: ศาสนาจารย์ เอ็น. เอ. แมคโดนัล เป็นผู้เริ่มก่อตั้งโรงพิมพ์ดังกล่าวใน ค.ศ. 1861[cite: 164].
  9. เป็นรูปร่าง: โรงพิมพ์เริ่มก่อตั้งเป็นรูปร่างขึ้นในสิ้นปี ค.ศ. 1861[cite: 164].
  10. ผลงานน่าทึ่ง: ในวันสิ้นสุดปีงบประมาณ 1 ต.ค. ค.ศ. 1862 มีการพิมพ์งานไปแล้วถึง 588,000 หน้า[cite: 164].
  11. คุ้มค่าการลงทุน: การพิมพ์งานที่มีจำนวนมากมายอย่างต่อเนื่อง ทำให้สมเหตุสมผลต่อค่าใช้จ่ายในช่วงแรก[cite: 164].
  12. ที่ตั้งแรกเริ่ม: โรงพิมพ์แห่งแรกตั้งอยู่ใน “ห้องใต้ดินมืดสลัว” ด้านล่างของบ้านหมอสอนศาสนาที่สำเหร่[cite: 164]. (เริ่มต้นจากพื้นที่เล็กๆ และเรียบง่าย)
  13. ย้ายใหญ่ครั้งที่ 1: ใน ค.ศ. 1892 โรงพิมพ์ย้ายไปยังสถานที่เช่าแห่งใหม่ที่ใหญ่ขึ้นและดีขึ้น บนฝั่งตรงกันข้ามของแม่น้ำ[cite: 164].
  14. ย้ายใหญ่ครั้งที่ 2: ใน ค.ศ. 1897 โรงพิมพ์ย้ายอีกครั้งไปยังอาคารที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ทำการโรงพิมพ์โดยเฉพาะ และมีโกดังเก็บของ[cite: 164].
  15. เลี้ยงตัวเองได้: โรงพิมพ์แห่งนี้ “สามารถเลี้ยงดูตัวเองได้มานานแล้ว” และค่าใช้จ่ายต่างๆ มาจากงานพิมพ์[cite: 164]. (เป็นธุรกิจที่ไม่ต้องพึ่งเงินบริจาคอย่างเดียว)
  16. งานพิมพ์ศาสนา: งานพิมพ์ด้านศาสนากับพระคัมภีร์นับเป็นแสนๆ หน้า โดยที่คณะมิชชันไม่ต้องแบกภาระค่าใช้จ่าย[cite: 164].
  17. ปรับปรุงตามจำเป็น: โรงพิมพ์ยังสามารถปรับปรุงเครื่องพิมพ์ได้ตามความจำเป็นตลอดเวลา[cite: 164].
  18. ขายกิจการ: โรงพิมพ์ถูกขายไปใน ค.ศ. 1919 ในราคา 60,000.00 บาท[cite: 164].
  19. เงินทุนสู่การศึกษา (1): เงิน 30,000.00 บาท จากการขายมอบให้กับโรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย เพื่อใช้ในการสร้างอาคารใหม่[cite: 164].
  20. เงินทุนสู่การศึกษา (2): เงินอีก 10,000.00 บาท มอบให้กับแผนกภาษาจีนของโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน[cite: 164].
  21. เหตุผลการขาย: มีโรงพิมพ์เกิดขึ้นมากมายในบางกอกอยู่แล้ว และคณะมิชชันไม่ต้องการใช้หมอสอนศาสนาเต็มเวลาทำงานที่ไม่เกี่ยวข้องกับศาสนาโดยตรง[cite: 164].
  22. มาตรฐานงานพิมพ์: งานพิมพ์ของโรงพิมพ์เพรสไบทีเรียนยังคงเป็น “บรรทัดฐานของงานพิมพ์ดีๆ ทั้งหมดที่มีอยู่ของสยาม”[cite: 164].
  23. ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ: ศาสนาจารย์ เจ. บี. ดันแลป, ดี.ดี. ได้รับเครดิตในความสำเร็จของโรงพิมพ์ เพราะพลัง, ทักษะ และความมุ่งมั่นของท่าน[cite: 165].
  24. ผู้จัดการโรงพิมพ์: ดร.ดันแลป เป็นผู้จัดการโรงพิมพ์ตั้งแต่ ค.ศ. 1891 จนถึง ค.ศ. 1909[cite: 168].
  25. เปลี่ยนภารกิจ: หลังจาก ค.ศ. 1909 ดร.ดันแลปก็หันไปทำงานเผยแพร่ศาสนาโดยตรงแทน[cite: 168].

⛪ Section 4: โบสถ์แห่งความสามัคคี (The Union Protestant Community)

ชุมชนโปรเตสแตนต์ในกรุงเทพฯ เติบโตขึ้นมากจนต้องมีการสร้างโบสถ์ถาวรสำหรับทุกนิกาย

  1. ชีวิตใหม่ในชุมชน: ชุมชนโปรเตสแตนต์ในบางกอกมี “บรรยากาศของชีวิตใหม่”[cite: 174].
  2. ประเพณีพบปะ: มีประเพณีการพบปะเพื่อประกอบพิธีนมัสการพระเจ้าประจำสัปดาห์ในหมู่หมอสอนศาสนาของนิกายต่างๆ มาโดยตลอด[cite: 174].
  3. ที่นมัสการแรก: ในตอนแรก การประกอบพิธีทำกันตามบ้านของหมอสอนศาสนา โดยสับเปลี่ยนกันไป[cite: 174].
  4. ขยายสู่ต่างชาติ: ต่อมาชาวต่างชาติอื่นๆ ที่มาบางกอกก็ได้เข้าร่วมพิธีด้วย ทำให้ชุมชนเติบโต[cite: 174].
  5. ใช้โบสถ์สำเหร่ชั่วคราว: หลังจากนั้น โบสถ์เพรสไบทีเรียนที่สำเหร่ได้ถูกใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธี[cite: 174].
  6. ชุมชนเติบโต: ชุมชนต่างชาติในบางกอกขยายใหญ่ขึ้นมากนับตั้งแต่การเดินทางมาของหมอสอนศาสนากลุ่มแรกใน ค.ศ. 1861[cite: 174].
  7. ขอที่ดินจากกษัตริย์: ชุมชนโปรเตสแตนต์ถวายฎีกาต่อรัชกาลที่ 4 เพื่อขอพระราชทานที่ดินเพื่อสร้างโบสถ์ของตนเอง[cite: 174].
  8. ได้รับพระราชทานที่ดิน: พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานที่ดินให้ตามที่ร้องขอในวันที่ 9 พฤษภาคม ค.ศ. 1861[cite: 174].
  9. ทำเลดีริมน้ำ: ที่ดินผืนนี้อยู่ติดแม่น้ำ ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของที่ดินซึ่งต่อมาคือบริษัทบอร์เนียวจำกัด[cite: 174].
  10. ระดมทุน: มีการส่งรายการก่อสร้างออกไปเพื่อขอเงินสนับสนุนจากหลายฝ่าย[cite: 174].
  11. ผู้ดูแลการก่อสร้าง: คุณมัตตูนและคุณวิลสันได้ให้เวลากับการซื้อวัสดุและควบคุมการก่อสร้าง[cite: 174].
  12. เงินทุนไม่พอ: เงินทุนที่มีอยู่ไม่พอเพียงสำหรับการสร้างโบสถ์[cite: 174].
  13. เงินบริจาคจากอังกฤษ: รัฐบาลอังกฤษได้บริจาคเงินส่วนที่เหลือให้[cite: 174].
  14. เงื่อนไขสำคัญ: รัฐบาลอังกฤษมีข้อแม้ว่าอาคารโบสถ์และสถานที่จะอยู่ภายใต้การควบคุมของสถานกงสุลอังกฤษ[cite: 174].
  15. พิธีแรก: พิธีนมัสการครั้งแรกในโบสถ์แห่งใหม่นี้จัดขึ้นในวันที่ 2 พฤษภาคม ค.ศ. 1864[cite: 175].
  16. ผู้ประกอบพิธี: ศาสนาจารย์ เอส. มัตตูน เป็นผู้ประกอบพิธีนมัสการครั้งแรก[cite: 175].
  17. พระคัมภีร์ที่ใช้: เนื้อหาที่เลือกมาใช้ในพิธีเอามาจากบทเพลงสรรเสริญบทที่ 122[cite: 175].
  18. เนื้อหาสำคัญ: ข้อความที่เลือกใช้คือ “ข้าพเจ้ามีความยินดี เมื่อเขากล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า ให้เราไปยังพระนิเวศของพระเจ้ากันเถิด”[cite: 176, 177].
  19. ร่วมพิธีกันเนืองแน่น: มีผู้คนจากชุมชนโปรเตสแตนต์จำนวนมากเข้าร่วมในพิธีครั้งนี้[cite: 178].
  20. ประเพณีการเทศนา: มีการตกลงให้หมอสอนศาสนาโปรเตสแตนต์ที่อยู่ประจำในบางกอกผลัดกันเทศนา โดยเรียงตามลำดับอักษร[cite: 178].
  21. ธรรมเนียมที่ยาวนาน: การผลัดกันเทศนาตามลำดับอักษรนี้กลายเป็นประเพณีที่ปฏิบัติกันมาเกือบ 30 ปี[cite: 179].
  22. เริ่มพิธีแบบอังกฤษ: ใน ค.ศ. 1868 การนมัสการแบบอังกฤษ (แองกลิคัน) เริ่มมีขึ้นที่โบสถ์ยูเนี่ยนโปรเตสแตนต์แห่งนี้[cite: 180].
  23. การยกเลิกชั่วคราว: ในปีถัดมา มีการตกลงกันที่จะยกเลิกการประกอบพิธีแบบแองกลิคันไว้หนึ่งปี[cite: 180].
  24. กลับสู่แองกลิคัน: ต่อมาชุมชนโปรเตสแตนต์ตกลงกันใหม่เพื่อให้การประกอบพิธีเป็นแบบแองกลิคันอย่างถาวร[cite: 180].
  25. หาอนุศาสก: ชุมชนโปรเตสแตนต์ตัดสินใจว่ามีฐานะพอที่จะหา “อนุศาสก” (Chaplain) หรือศาสนาจารย์ประจำของตนเองได้แล้ว[cite: 183].
  26. อนุศาสกคนแรก: ศาสนาจารย์วิลเลียม กรีนสต๊อก เดินทางมาเป็นอนุศาสกใน ค.ศ. 1894[cite: 183].
  27. อนุศาสกคนต่อมา: ศาสนาจารย์ ดร.ฮิลยาร์ด เข้ารับตำแหน่งอนุศาสกแทนที่ในภายหลัง[cite: 184].
  28. อนุศาสกคนสุดท้ายที่ระบุ: ต่อมาก็เป็นศาสนาจารย์ ซี. อาร์. ซิมมอนส์ ของคริสตจักร เอส. พี. จี.[cite: 184].
  29. อนุสรณ์ถึงผู้จัดการ: มีการติดตั้งแผ่นป้ายอนุสรณ์ในโบสถ์โปรเตสแตนต์ใน ค.ศ. 1877 เพื่อรำลึกถึงคุณไบลท์ ผู้จัดการของบริษัทบอร์เนียว จำกัด[cite: 185].
  30. โบสถ์หลังใหม่: ชุมชนต่างชาติพร้อมที่จะมีอาคารที่ดีขึ้นและกว้างขวางขึ้น[cite: 185].
  31. ขายที่ดินเก่า: ที่ดินเดิมที่รัชกาลที่ 4 พระราชทาน ได้รับพระบรมราชานุญาตจากรัชกาลที่ 5 (พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) ให้ขายออกไป[cite: 185].
  32. การเงินสร้างใหม่: เงินจากการขายที่ดินเก่าและเงินทุนที่รวบรวมได้ถูกนำมาก่อตั้งอาคารหลังใหม่[cite: 185].
  33. ชื่อใหม่: อาคารหลังใหม่นี้รู้จักกันในนาม คริสตจักรไครสต์เชิช (Christ Church) และเริ่มใช้ใน ค.ศ. 1904[cite: 185].
  34. ย้ายอนุสรณ์: แผ่นป้ายอนุสรณ์ของคุณไบลท์ถูกย้ายจากโบสถ์เก่าไปยังคริสตจักรไครสต์เชิชด้วย[cite: 185].
  35. ไม่ใช่โบสถ์อังกฤษ: โบสถ์แห่งนี้มักถูกเรียกว่า “โบสถ์อังกฤษ” แต่เป็นชื่อที่เรียกผิดๆ[cite: 186].
  36. ความตั้งใจเดิม: โบสถ์แห่งนี้คือ “โบสถ์ยูเนี่ยนโปรเตสแตนต์” มาตั้งแต่แรก สร้างขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของชุมชนโปรเตสแตนต์และผู้พูดภาษาอังกฤษทั้งหมด[cite: 186].

🏗️ Section 5: คริสตจักรเพรสไบทีเรียนถาวร (The Presbyterian’s Own Church)

ควบคู่ไปกับโบสถ์รวมนิกาย (Union Church) หมอสอนศาสนาเพรสไบทีเรียนก็สร้างโบสถ์ถาวรของตนเองด้วย

  1. โบสถ์ถาวรส่วนตัว: ก่อนจะสร้างโบสถ์ยูเนี่ยน หมอสอนศาสนาเพรสไบทีเรียนได้เริ่มสร้างโบสถ์ถาวรให้กับคริสตจักรของตนเองแล้ว[cite: 187].
  2. ชะลอการสร้าง: การสร้างโบสถ์ดังกล่าวยังไม่เสร็จสมบูรณ์ เพราะพวกเขาไม่ประสงค์จะขัดขวางการขอเงินบริจาคของโบสถ์โปรเตสแตนต์ (ยูเนี่ยน) ที่กำลังดำเนินการอยู่[cite: 187]. (แสดงถึงการทำงานร่วมกันและให้เกียรติซึ่งกันและกัน)
  3. เปิดใช้: โบสถ์เพรสไบทีเรียนถาวรเปิดใช้ในวันอาทิตย์สุดท้ายของเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1862[cite: 187].
  4. สองภาษาในพิธี: พิธีเปิดโบสถ์แห่งนี้ประกอบพิธีทั้งภาษาอังกฤษและภาษาสยาม[cite: 187].
  5. โบสถ์อิฐที่สำเหร่: สองปีต่อมา มีการก่อตั้ง “โบสถ์ที่สร้างด้วยอิฐ” ขึ้นที่สำเหร่[cite: 190].
  6. การซ่อมแซมใหญ่: ใน ค.ศ. 1910 อาคารโบสถ์ที่สำเหร่ต้องซ่อมแซมและขยายให้ใหญ่ขึ้น[cite: 190].
  7. รื้อถอนและสร้างใหม่: อาคารหลังเก่าจึงถูกรื้อถอนลง เพื่อสร้างอาคารโบสถ์หลังใหม่บนที่เดิม[cite: 190].
  8. พลังศรัทธาชาวสยาม: การสร้างอาคารโบสถ์ใหม่นี้ มาจากเงินสนับสนุนที่ชาวสยามที่เป็นคริสตศาสนิกชนได้ส่งรายการก่อสร้างออกไปเพื่อขอ[cite: 190].

🌟 Section 6: คนสยามผู้เป็นจุดเปลี่ยน (Siamese Pioneers and Converts)

การกลับใจและเติบโตของคนสยามถือเป็นผลงานที่ต้องใช้ความพากเพียรยาวนาน

  1. ความสุขหลังรอคอย: ในปี ค.ศ. 1867 มีผู้เข้าพิธีรับบัพติศมา (รับศีลจุ่ม) สามคน ซึ่งเป็น “โอกาสแห่งความสุขโดยแท้จริง” ของหมอสอนศาสนาสูงอายุ[cite: 192].
  2. เมล็ดพันธุ์ที่งอกงาม: การรับบัพติศมานี้เปรียบเหมือน “เมล็ดพืช” ที่พวกเขาหว่านไว้และใช้เวลายาวนานจึงจะเห็นผล[cite: 192].
  3. คนดังที่กลับใจ (1): หนึ่งในสามคนนั้นคือ นายเทียน (ต่อมาคือ พระยาสารสินฯ)[cite: 192].
  4. แพทย์สยามคนแรก: นายเทียนเดินทางไปสหรัฐอเมริกา และจบการศึกษาจากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ใน ค.ศ. 1871[cite: 192].
  5. หัวหน้าโรงพยาบาลรัฐบาล: ใน ค.ศ. 1880 ดร.เทียนได้เป็นหัวหน้าโรงพยาบาลรัฐบาลสยามแห่งแรกที่ดำเนินงานตามแบบต่างชาติ[cite: 192].

ch6

Section 1: การศึกษาดั้งเดิมและการกำเนิดโรงเรียนหญิง (Traditional Education and the Birth of a Girls’ School)

  1. ระบบการศึกษาสำหรับเด็กชายมีมาอย่างยาวนานในสยาม[cite: 142].
  2. การศึกษาของเด็กชายมักจะผูกพันอยู่กับ วัด[cite: 142].
  3. การส่งเด็กชายเข้าวัดเพื่อปรนนิบัติรับใช้พระภิกษุถือเป็นการทำบุญอย่างหนึ่ง[cite: 142].
  4. เด็กชายเหล่านี้จะได้รับการสอนให้อ่านและคัดลอก พระไตรปิฎก[cite: 142].
  5. นอกจากนี้ยังได้รับความรู้เบื้องต้นทางด้าน เลขและวิทยาศาสตร์ บ้าง[cite: 142].
  6. พระภิกษุบางรูปมีชื่อเสียงเป็นพิเศษในฐานะ นักการศึกษา ภายในบริเวณวัด[cite: 142].
  7. ยกตัวอย่างการศึกษาชาย: คิดง่ายๆ ว่า วัดคือโรงเรียนอนุบาล/ประถม ดั้งเดิมที่สอนทั้งเรื่องธรรมะและทักษะชีวิตเบื้องต้น[cite: 142].
  8. สำหรับเด็กหญิง ขนบประเพณีสยามคือการส่งบุตรีไปอาศัยในบ้านของผู้มีบรรดาศักดิ์สูงกว่า[cite: 143].
  9. การส่งบุตรีเข้าบ้านผู้มีบรรดาศักดิ์ถือเป็นวิธี “เสาะหาโอกาสดีๆ” ให้กับบุตรี[cite: 143].
  10. การศึกษาสำหรับเด็กหญิงยังไม่ถูกยอมรับในคุณค่าและถูกมองข้ามความสำคัญไปอย่างมาก[cite: 143].
  11. หมอสอนศาสนา ได้เริ่มเปิดโรงเรียนชายขึ้นทันทีที่พวกเขาใช้ภาษาไทยได้[cite: 142].
  12. สตรีชาวคริสตจักรอเมริกัน เริ่มเห็นความสำคัญของการศึกษาสตรีในสยาม[cite: 143].
  13. เด็กหญิง 2-3 คนแรกได้มีโอกาสเข้าไปเยือนบ้านของหมอสอนศาสนา[cite: 143].
  14. เด็กหญิงเหล่านี้เริ่มรวมตัวกันและกลายเป็น แกนกลางของโรงเรียนหญิง ในเวลาต่อมา[cite: 143].
  15. ในปี ค.ศ. 1866 มีข้อเสนอให้เปิดศูนย์พันธกิจย่อยใกล้บริเวณ วังหลัง[cite: 144].
  16. สี่ปีต่อมา (ประมาณ ค.ศ. 1870) คุณจอร์จจึงซื้อที่ดินเพื่อเริ่มสร้างอาคาร[cite: 144].
  17. อาคารที่สร้างเป็นอาคารอิฐสองชั้นขนาด 6 ห้อง ซึ่งนับว่าใหญ่โตมากสำหรับสมัยนั้น[cite: 144].
  18. คุณจอร์จและภรรยาต้องกลับอเมริกาเพราะปัญหาด้านสุขภาพ ก่อนอาคารจะเสร็จ[cite: 144].
  19. ดร.เฮาส์ และภรรยา (มิสซิสเฮาส์) ได้รับแต่งตั้งให้ดูแลการก่อสร้างต่อจนเสร็จ[cite: 144].
  20. มิสซิสเฮาส์ได้จัดทำห้องชั้นบนของอาคารให้เป็น โรงเรียนหญิง[cite: 144].
  21. มิสซิสเฮาส์เดินทางกลับอเมริกาเพื่อฟื้นฟูสุขภาพ และเรี่ยไรเงินทุนเพื่อก่อสร้างอาคารและซื้อเครื่องมือใหม่[cite: 144].
  22. ในปี ค.ศ. 1875 โรงเรียนประจำหญิงแห่งแรกในสยามก็เริ่มเปิดตัวขึ้น[cite: 147].
  23. โรงเรียนนี้มีชื่อเต็มว่า “โรงเรียนแฮร์เรียต เอ็ม. เฮาส์ ที่วังหลัง” ตามชื่อของภรรยา ดร.เฮาส์[cite: 141, 168].
  24. นักเรียนกลุ่มแรกมีประมาณ 10–15 คน ซึ่งเคยเป็นนักเรียนที่หมอสอนศาสนาสอนที่บ้านมาแล้ว[cite: 147].
  25. โรงเรียนได้รับความไว้วางใจจาก ชนชั้นสูงสุด ที่ส่งลูกหลานมาศึกษา[cite: 147].

Section 2: ผู้จัดการที่มาแล้วไป… และยอดคุณครูผู้กอบกู้ (The High Turnover and The Lifesavers)

  1. อุปสรรคแรกๆ ของโรงเรียนคือความแออัดคับแคบ และโอกาสการขยายตัวที่น้อย[cite: 147].
  2. ในปี ค.ศ. 1876 มิสอะราเบลล่า แอนเดอร์สัน ครูคนแรก ได้แต่งงานและย้ายไปประเทศจีน[cite: 149].
  3. มิสเอส. ดี. กริมสเตท เข้ามาทำหน้าที่แทน โดยมีนักเรียนเพิ่มขึ้นเป็น 20 คน[cite: 150].
  4. ในปี ค.ศ. 1877 มิสซิสเฮาส์มีสุขภาพทรุดโทรมจนต้องจากสยามไป โดยต้องโอนงานที่รักยิ่งให้ผู้อื่นด้วยความไม่เต็มใจ[cite: 150].
  5. ก่อนกลับ ดร.เฮาส์และภรรยาได้พาเด็กชาย 2 คนไปศึกษาต่อ คือ ครูบุญอิต และ นายแก่น (ต่อมาคือพระยาวินิจ)[cite: 150].
  6. นายแก่น (พระยาวินิจ) เมื่อกลับมาได้รับตำแหน่งสำคัญในหน่วยงานด้านการศึกษาของรัฐบาล[cite: 150].
  7. ในปีเดียวกัน (ค.ศ. 1877) มิสกริมสเตทก็เดินทางกลับบ้านเกิดเมืองนอน[cite: 153].
  8. มิสเจนนี คอร์เซน มาทำหน้าที่ต่อ แต่ก็แต่งงานในปีถัดมา[cite: 153].
  9. สามีของมิสคอร์เซน (ศาสนาจารย์ แมคคอลีย์) เป็นนักการศึกษาที่ดีเยี่ยม แต่ก็ต้องจากสยามไปญี่ปุ่นเพราะสุขภาพไม่ดี[cite: 154].
  10. ที่ญี่ปุ่น ศาสนาจารย์แมคคอลีย์เป็นคนสำคัญที่ช่วยก่อตั้ง เมจิ กาคา อิน (Meiji Gakuin)[cite: 154].
  11. มิสเบลล์ คอลด์เวลล์ มาถึงในปี ค.ศ. 1878 และเข้ารับตำแหน่งผู้จัดการ[cite: 155].
  12. ในตอนนั้นโรงเรียนมีนักเรียน 29 คน โดยมีรายได้เพียง 40.00 เหรียญต่อรายจ่าย 490.00 เหรียญต่อปี[cite: 155].
  13. ภายในเวลา 10 ปี (ค.ศ. 1875-1885) โรงเรียนมีผู้จัดการถึง 8 คน![cite: 157].
  14. ผู้จัดการต่างชาติเหล่านี้มาพร้อมแผนใหม่ๆ แต่ ไม่มีใครมีความรู้เกี่ยวกับขนบประเพณีและภาษาของสยามเลย[cite: 157].
  15. ยกตัวอย่างความวุ่นวาย: ลองนึกภาพบริษัทที่เปลี่ยน CEO ทุกปี และ CEO คนใหม่ก็พูดภาษาไทยไม่ได้เลย… งานคงยุ่งน่าดู![cite: 157].
  16. บุคคลสำคัญที่สุดที่ทำให้โรงเรียนรอดมาได้คือ นางตั๋วน มารดาของครูบุญอิต[cite: 157].
  17. มิสซิสเฮาส์ได้แต่งตั้งให้นางตั๋วนเป็นทั้ง ครูและแม่บ้าน[cite: 157].
  18. นางตั๋วนเป็นสตรีที่พิเศษ มีความภูมิฐาน ฉลาดเฉลียว และทำงานอย่างมุ่งมั่นไม่ย่อท้อ[cite: 157].
  19. นางตั๋วนทำให้นักเรียนรู้สึกมั่นคงและเหนียวแน่นกับโรงเรียน[cite: 157].
  20. นักเรียนรุ่นแรกๆ ถูกดูแลเรื่องอาหาร เสื้อผ้า และการศึกษา โดยมีสัญญาว่าจะเรียน 3-5 ปี[cite: 157].
  21. นักเรียนเหล่านี้เก่งทั้งเรื่องเย็บปักถักร้อย ภาษาอังกฤษพื้นฐาน และการดูแลครอบครัว/บ้านเรือน[cite: 157].
  22. นักเรียนช่วยทำงานทุกอย่างในโรงเรียน แม้กระทั่งการไปซื้อของที่ตลาด (ถือเป็นการฝึกทักษะชีวิต)[cite: 157].
  23. ในปลายปี ค.ศ. 1885 นางตั๋วนขอถอนตัวออกจากงานเพราะเหน็ดเหนื่อยและอ่อนแรง[cite: 163].
  24. เมื่อนางตั๋วนออกไป นักเรียนที่มีอายุและผู้ช่วยก็ลาออกตามไปด้วย[cite: 163].
  25. จุดจบของโรงเรียนดูเหมือนจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ในเวลานั้น[cite: 163].

Section 3: การปรับตัวทางธุรกิจและการสร้างบุคลากรไทย (Business Adaptation and Siamese Personnel)

  1. ในปี ค.ศ. 1886 มิสแมรี เจ. เฮนเดอร์สัน และ มิสเอ็ดนา เอส. โคล เข้ามาร่วมงานและพยายามแก้ปัญหาวิกฤต[cite: 165].
  2. พวกเธอต้องเผชิญกับปัญหาใหญ่ เช่น ความรู้ภาษาสยามที่น้อยมาก และอาคารที่ต้องซ่อมแซม[cite: 165].
  3. โรงเรียนยากจนมาก มีรายได้เพียง เก้าบาทต่อเดือน เท่านั้น ต้องทำงานอย่างกระเบียดกระเสียร[cite: 165].
  4. พวกเขาได้เรียนรู้ว่าคนสยาม “ไม่ได้ให้ความสนใจต่อสิ่งที่เสียค่าใช้จ่ายน้อย”[cite: 165, 169].
  5. ยกตัวอย่างหลักคิด: คนสยามมองว่าของถูกไม่ดี! โรงเรียนจึงต้องปรับให้มีค่าใช้จ่าย[cite: 169].
  6. โรงเรียนจึงเปลี่ยนนโยบายให้ผู้สมัครใหม่ต้องจ่ายค่าเล่าเรียน ห้าบาทต่อเดือน เพื่อดึงดูดความสนใจ[cite: 169].
  7. ในเทอมแรกหลังเปลี่ยนกฎ มีนักเรียนหญิง 16 คน[cite: 170].
  8. ครูญ่วน เตียงหยก ได้รับคัดเลือกให้เป็นผู้ช่วยครูชาวอเมริกันที่ไว้ใจได้[cite: 164].
  9. ครูญ่วนมีความอดทน นิ่มนวล และมุ่งมั่น ทำงานให้โรงเรียนถึงสิบปี[cite: 164].
  10. แม่สร้อย (อดีตครูผู้ช่วย) และ แม่ทิม เป็นครูคนสำคัญในช่วงเวลานั้น[cite: 170, 171].
  11. แม่ทิมแสดงความสามารถด้านการบริหารถึง 12 ปี จนมีชื่อเสียงในแวดวงโรงเรียนสตรีของรัฐบาล[cite: 171].
  12. นักเรียนหญิง 4 คนที่เรียนในระดับสูง (เทียบเท่าประถมปีที่สอง) ถูกฝึกเพื่อเป็น ครูในอนาคต[cite: 172].
  13. แม่สุวรรณ แม่แจง และแม่พลอย ตกลงที่จะมาเป็นครูหลังสมรส ซึ่งเป็นความสุขของโรงเรียน[cite: 172].
  14. แม่สุวรรณ เป็นครูที่ฉลาดปราดเปรื่องและได้ดำรงตำแหน่ง ครูใหญ่[cite: 175].
  15. แม่สุวรรณมีส่วนสำคัญในการหล่อหลอมโรงเรียนถึง 20 ปี[cite: 175].
  16. ท่านสามารถพบปะกับบิดามารดาของนักเรียนและสร้างมิตรภาพได้[cite: 175].
  17. แม่สุวรรณช่วยให้คำแนะนำและอธิบายขนบประเพณีสยามให้กับครูต่างชาติ ทำให้โรงเรียนฝ่าฟันอุปสรรคได้[cite: 175].
  18. แม่เต่า ทำงานเป็นครูของโรงเรียนอย่างซื่อสัตย์กว่า 10 ปี ก่อนจะไปทำงานให้กับโรงเรียนราชินี[cite: 176].
  19. โรงเรียนเคยจัด ตลาดนัด ขายงานเย็บปักถักร้อยของนักเรียนพร้อมกับตุ๊กตาจากอเมริกา[cite: 177].
  20. การจัดตลาดนัดประสบความสำเร็จอย่างมาก ทำให้ปัญหาความยากจนของโรงเรียนค่อยๆ หมดไป[cite: 177].
  21. โรงเรียนได้รับโต๊ะอัตโนมัติน่ารัก 24 ตัวจากอเมริกาเพื่อใช้ในการเรียน[cite: 177].

Section 4: พระราชูปถัมภ์และการขยายตัวครั้งใหญ่ (Royal Patronage and Major Expansion)

  1. ในปี ค.ศ. 1888 คริสตจักรอนุมัติให้โรงเรียนใช้และครอบครอง ที่ดินทั้งหมดของวังหลัง[cite: 178].
  2. การอนุมัติที่ดินถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญสำหรับการขยายโรงเรียน[cite: 178].
  3. ในช่วงเวลาใกล้กัน เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้โรงเรียนเป็นที่ยอมรับสูงสุด[cite: 179].
  4. พระบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้านราธิปประพันธ์พงศ์ ทรงเป็นเชื้อพระวงศ์องค์แรกที่ทรงอุปถัมภ์โรงเรียน[cite: 179].
  5. พระองค์ทรงให้พระธิดาองค์ใหญ่คือ หม่อมเจ้าหญิงพันธุ์พิมาน มาศึกษากับทางโรงเรียน[cite: 179].
  6. เหตุการณ์นี้ช่วย เปลี่ยนแปลงความรู้สึกเกี่ยวกับการศึกษาสตรี และเป็นจุดเริ่มต้นของยุคใหม่[cite: 179].
  7. หลังจากนั้น ลูกหลานของเชื้อพระวงศ์และขุนนางก็เริ่มเข้ามาเป็นนักเรียนมากขึ้น[cite: 183].
  8. โรงเรียนได้รับการยอมรับในฐานะโรงเรียนสำหรับ ชนชั้นสูงและชนชั้นที่ต่ำลงมา[cite: 183].
  9. เกร็ดน่ารักปนสยอง: หม่อมเจ้าหญิงพันธุ์พิมานเคยประสบอุบัติเหตุถูกพระพี่เลี้ยงใช้ กรดคาร์บอลิก (คิดว่าเป็นน้ำหอม) ประพรมพระวรกาย[cite: 184].
  10. แม้จะเจ็บปวดอย่างรุนแรง แต่เจ้าหญิงองค์น้อยก็ทรงพยายามอย่างกล้าหาญที่จะอดทน[cite: 184].
  11. พระอัยยิกา (ยาย) ของพระองค์เสด็จมาเพื่อตัดสินใจว่าจะทำอย่างไร แต่เจ้าหญิงทรงตัดสินพระทัยเองว่าจะประทับอยู่ที่โรงเรียนต่อ[cite: 184, 185].
  12. ในปี ค.ศ. 1900 เจ้าหญิงพระองค์นี้สิ้นชีพตักษัยด้วยโรคอหิวาตกโรค สร้างความเศร้าโศกแก่คณะครูอย่างมาก[cite: 187].
  13. บรรดาเจ้าจอมในพระบรมมหาพระราชวังได้ส่ง “ข้าหลวง” ที่ยังมีอายุน้อยมาเรียนด้วย[cite: 188].
  14. ช่วงทศวรรษที่สอง โรงเรียนมีการพัฒนาหลายด้าน ทั้งจำนวนนักเรียนเต็มจำนวนและสามารถ เลี้ยงดูตัวเองได้[cite: 191].
  15. เพื่อนชาวสยามได้บริจาคเงินให้ซื้อที่ดินที่อยู่ติดกับโรงเรียนเพิ่มเติม[cite: 192].
  16. มีการสร้างอาคารเพิ่มสำหรับเป็นห้องเรียน ห้องอาหาร และสิ่งจำเป็นอื่นๆ บนที่ดินที่ขยาย[cite: 192].
  17. มีการสร้างเขื่อนกั้นน้ำ ท่าเรือใหม่ และกำแพงสูงล้อมรอบพื้นที่โรงเรียน[cite: 192].

Section 5: เหตุการณ์สำคัญระดับชาติและผลกระทบ (Key National Events and Impact)

  1. มีงานแสดงเพื่อเฉลิมฉลอง 100 ปีของกรุงเทพฯ ในฐานะราชธานี[cite: 158].
  2. งานเฉลิมฉลองนี้จัดขึ้นเพื่อแสดงถึงความเจริญก้าวหน้าของชาติ[cite: 158].
  3. โรงเรียนถูกขอให้จัดนิทรรศการงาน เย็บปักถักร้อย[cite: 162].
  4. นิทรรศการนี้ได้รับพระบรมราชานุญาตให้ใช้พื้นที่ของสมเด็จพระบรมราชินีในท้องพระโรง[cite: 162].
  5. พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ทรงสนพระทัยและพระราชทานเงิน ซื้อผลงานทั้งหมด[cite: 162].
  6. รัชกาลที่ 5 ยังทรงพระราชทาน เหรียญเงิน ให้แก่โรงเรียนอีกด้วย[cite: 162].
  7. โศกนาฏกรรมปี ค.ศ. 1880 การสิ้นพระชนม์ของ สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ (พระนางเรือล่ม)[cite: 193].
  8. การสิ้นพระชนม์พร้อมพระธิดาสององค์ เป็นแรงกระตุ้นสำคัญต่อ การศึกษาสตรี ในราชอาณาจักร[cite: 193].
  9. มีการสร้างอาคารอนุสรณ์ที่งดงาม 2 หลัง อุทิศให้กับการศึกษา ตามพระราชประสงค์เดิมของพระนางสุนันทาฯ[cite: 193].
  10. มีการสร้างโรงเรียนสตรีเพื่อเป็นอนุสรณ์แด่พระราชินี ซึ่งต่อมาเป็นที่รู้จักกันในนาม โรงเรียนราชินี[cite: 208].
  11. วิกฤตการณ์ทางการเมืองปี ค.ศ. 1893 สยามต้องลงนามในสนธิสัญญายอมรับการลบหลู่จากฝรั่งเศส[cite: 194].
  12. ในปี ค.ศ. 1898 รัชกาลที่ 5 เสด็จประพาสยุโรปเป็นครั้งแรก[cite: 198].
  13. ทรงแต่งตั้งให้ สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี ดำรงตำแหน่ง ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์[cite: 198].
  14. ความสำเร็จในการบริหารประเทศของสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรีช่วยกระตุ้นให้ สตรีของราชอาณาจักรก้าวไปข้างหน้า[cite: 198].
  15. รัฐบาลเริ่มเปิดโรงเรียนไปกลับหลายโรงเรียนในกรุงเทพฯ และสนับสนุนการศึกษามากขึ้น[cite: 198].
  16. นักเรียนที่จบจากโรงเรียนวังหลังจึงกลายเป็น ที่ต้องการอย่างยิ่ง เพื่อให้ไปสอนในโรงเรียนใหม่ของรัฐบาล[cite: 198, 204].
  17. ยกตัวอย่างความต้องการครู: นักเรียนที่จบไปเล่าว่า ข้าหลวง สนับสนุนให้เธอเปิดโรงเรียนสำหรับลูกข้าราชการทันทีที่ทราบว่าเธอจบจากวังหลัง[cite: 202, 203].

Section 6: แผนการพัฒนายุคใหม่ของสยาม (Siam’s Modernization Plans)

  1. พระเจ้าอยู่หัวทรงส่งพระราชโอรสไปศึกษาต่อยังโรงเรียนที่มีชื่อเสียงของอังกฤษและยุโรป[cite: 205].
  2. มีการสอบแข่งขันเพื่อให้ข้าราชการหนุ่มจำนวนมากเดินทางไปศึกษาต่อต่างประเทศด้านวิทยาการต่างๆ[cite: 205].
  3. การเสด็จกลับจากยุโรปของพระเจ้าอยู่หัวนำแผนการใหม่ๆ มามากมายเพื่อพัฒนาประเทศ[cite: 206].
  4. มีการขยายเส้นทาง รถไฟ และสร้าง ถนนใหม่ ที่ดีขึ้น[cite: 206].
  5. มีการวางแผนสร้าง วิทยาลัยเฉพาะทาง ในสาขาสำคัญ เช่น นิติศาสตร์ เกษตรศาสตร์ การทำแผนที่ ชลประทาน และวิศวกรรมโยธา[cite: 206].
  6. มีการวางแผนสร้างวิทยาลัยในสาขา การแพทย์และการอบรมนางพยาบาล[cite: 206].
  7. มีการวางแผนสร้าง มหาวิทยาลัย แต่ก็ยังไม่ได้ก่อตั้งเป็นรูปร่างในเวลานั้น[cite: 206].
  8. มีการก่อตั้งโรงพยาบาลแห่งใหม่ และโรงพยาบาลเดิมก็ได้รับการสนับสนุนและเครื่องมือที่ดีขึ้น[cite: 206].
  9. มีการพัฒนาที่ดินผืนใหญ่ทางตอนเหนือของกรุงเทพฯ ให้เป็น สวนสาธารณะที่งดงาม[cite: 207].
  10. ในสวนสาธารณะแห่งนี้ มีการสร้างพระราชวังของพระเจ้าแผ่นดิน[cite: 207].
  11. มีการสร้าง ถนนกว้างมีร่มไม้แบบปารีส เพื่อเชื่อมสวนสาธารณะกับพระราชวังหลวง[cite: 207].
  12. เส้นทางสัญจรนี้ถือเป็นเส้นทางที่สวยที่สุดเท่าที่คนสยามเคยมีมา[cite: 207].
  13. โดยสรุปแล้ว บรรยากาศทั้งหมดของสยามในช่วงเวลานั้นเต็มไปด้วยการพัฒนาครั้งใหญ่[cite: 207].

ch7

📌 ส่วนที่ 1: การก่อตั้งและทำเลที่ตั้งของ “นครแห่งเพชร”

  1. จุดเริ่มต้น: ศูนย์พันธกิจเพชรบุรีก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1861 [cite: 177] ซึ่งถือเป็นช่วงต้นของการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ในสยาม
  2. สถานะสำคัญ: เป็นจุดเริ่มต้นของการ “ขยายงาน” ของคณะมิชชันเพรสไบทีเรียนที่ออกนอกบางกอก (กรุงเทพฯ) เป็นครั้งแรก[cite: 178].
  3. ความสวยงาม: เพชรบุรีถูกยกย่องว่าเป็นเมืองที่น่าอยู่ที่สุดแห่งหนึ่งในสยาม[cite: 178].
  4. ระยะทาง: เมืองนี้ตั้งอยู่ทางตะวันตกของบางกอกไปประมาณ 80 ไมล์[cite: 178].
  5. ทัศนียภาพ: พื้นที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยท้องทุ่งชุ่มน้ำ และมีต้นตาลโตนดลำต้นสูงขึ้นอย่างหนาแน่น[cite: 178].
  6. ภูมิทัศน์โดดเด่น: มีทิวเขาเตี้ยๆ และมีเขาหนึ่งลูกตั้งตระหง่านอยู่เหนือตัวเมือง[cite: 178].
  7. สถานที่สำคัญของชาติ: พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) ทรงโปรดให้สร้างพระราชวังและวัดบนเขาลูกนี้[cite: 178].
  8. จุดเด่นอีกแห่ง: มีเขาอีกลูกหนึ่งที่มี “ถ้ำเพชรบุรี” ที่มีชื่อเสียง[cite: 178].
  9. ความหมายของชื่อเมือง: “เพชรบุรี” หมายถึง “นครแห่งเพชร”[cite: 178].
  10. ที่มาของชื่อ: มาจากการที่เคยมีผู้พบเพชรในแม่น้ำเพชรบุรี[cite: 178].
  11. สภาพความเป็นอยู่: อากาศบริเวณนี้เย็นสบายและบ้านเมืองเจริญมั่งคั่ง[cite: 178].

🚧 ส่วนที่ 2: อุปสรรคเบื้องต้นและการสนับสนุนจากฝ่ายราชการสยาม

  1. การปรึกษาหารือ: หมอสอนศาสนาได้ปรึกษาหารือกันหลายครั้งในบางกอกเกี่ยวกับโอกาสในการตั้งศูนย์พันธกิจที่เพชรบุรี[cite: 179].
  2. ผู้ถูกแต่งตั้งคนแรก: ดร.เฮาส์ กับภรรยา ถูกแต่งตั้งให้มารับผิดชอบการตั้งศูนย์ฯ[cite: 179].
  3. อุปสรรคที่ไม่คาดคิด (ตัวอย่าง): ดร.เฮาส์เดินทางมาเตรียมงานแล้ว แต่ประสบอุบัติเหตุ ตกจากหลังม้า อาการรุนแรงจนไม่สามารถทำหน้าที่ได้[cite: 179].
  4. ความพยายามของคนอื่นๆ: คุณแมคกิลวารีกับคุณวิลสัน ต่างก็เคยตั้งใจรับงานนี้แต่ไม่สามารถทำได้ตามแผน[cite: 179].
  5. ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เริ่มงานได้ (ข้อ 1): ท่านผู้ทำหน้าที่แทนข้าหลวง คือ พระเพ็ชรพิสัยศรีสวัสดิ์ (ต่อมาคือ เจ้าพระยาภานุวงษ์มหาโกษาธิบดี) ได้แสดงความกระตือรือร้นและต้องการให้หมอสอนศาสนามา[cite: 183].
  6. เหตุผลส่วนตัวของข้าหลวง: ท่านต้องการให้บุตรชายมีโอกาส เรียนภาษาอังกฤษ[cite: 183].
  7. การสนับสนุนจากข้าหลวง: ท่านจึงได้เสนอ ที่ดิน ให้ก่อตั้งโรงเรียนเพื่อเป็นแรงจูงใจ[cite: 183].
  8. ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เริ่มงานได้ (ข้อ 2): ทางมิชชันได้รับบุคลากรสนับสนุนเพิ่ม[cite: 184].
  9. ทีมผู้บุกเบิก: บุคคลที่เริ่มงานสำคัญ ได้แก่ ศาสนาจารย์ เอส. จี. แมคฟาร์แลนด์, ศาสนาจารย์ เอ็น. เอ. แมคโดนัล, ภรรยาของทั้งสองท่าน, และมิสซิสแดลเนียล แมคกิลวารี[cite: 184, 185].
  10. ความกระตือรือร้นของทีม: ทั้งสี่คนต่างก็กระตือรือร้นที่จะได้รับมอบหมายให้ไปทำงานที่ศูนย์พันธกิจแห่งใหม่นี้[cite: 186].

✨ ส่วนที่ 3: “นายก้อน” อัญมณีก้อนแรกของการเผยแพร่ศาสนา

  1. เรื่องราวสุดมหัศจรรย์: ภายในเดือนแรกที่ศูนย์ฯ เปิดขึ้น หมอสอนศาสนารายงานเรื่องราวของชายชาวสยามคนหนึ่งชื่อ “นายก้อน”[cite: 187, 188].
  2. ศรัทธาที่มาจากการอ่าน: นายก้อนเป็นคนที่มีศรัทธาในพระเจ้ากับพระเยซูคริสต์ ทั้งๆ ที่ยังไม่เคยพบหมอสอนศาสนาหรือคริสตศาสนิกชนแม้แต่คนเดียว[cite: 188].
  3. ฉายา: เขาถูกเรียกว่าเป็น “อัญมณีก้อนแรก” ที่พบใน “นครแห่งเพชร”[cite: 188].
  4. คัมภีร์ที่ใช้: นายก้อนเปลี่ยนศาสนาด้วยการอ่านพระคัมภีร์เพียง 3 เล่ม คือ พระกิตติคุณยอห์น, พระธรรมกิจการของอัครทูต, และพระธรรมโรม เท่านั้น[cite: 188].
  5. วิธีการอ่าน: ในการอ่านพระธรรมดังกล่าว นายก้อนทำด้วยการ ท่องจำเกือบทั้งหมด[cite: 188].
  6. ความจำอันน่าทึ่ง: เขาสามารถท่องข้อพระคัมภีร์ของพระธรรมดังกล่าวได้ทั้งหมดโดยไม่ขาดตกบกพร่องเลย[cite: 188].
  7. การสอนในครอบครัว: เขายังสอนบุตรชายตัวเล็กๆ ให้อธิษฐานพระเจ้าและท่องบัญญัติสิบประการ[cite: 188].
  8. ความต้องการเรียนรู้: เขารู้สึกยินดีที่ได้พบหมอสอนศาสนาและใคร่จะมาพักอาศัยอยู่ด้วยเพื่อศึกษาบทคำสอนให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น[cite: 188].
  9. ความเสียสละ: นายก้อนต้องการช่วยสอนศาสนาและแจกจ่ายหนังสือ โดยไม่ต้องการค่าตอบแทนใดๆ[cite: 188].
  10. ฐานะดี: เขามีเงินอยู่หลายร้อยบาทและไม่ต้องการเงินอีก (แสดงให้เห็นว่าศรัทธาไม่ได้มาจากความยากจน)[cite: 188].
  11. ความมั่นคงในศรัทธา (ตัวอย่าง): เขายืนยันต่อมิตรสหายกลุ่มใหม่ว่าจะไม่มีวันละทิ้งความเชื่อมั่นในพระเยซูคริสต์อย่างเด็ดขาด[cite: 188].
  12. สมาชิกอย่างเป็นทางการ: นายก้อนไม่เคยเข้าเป็นสมาชิกของคริสตจักรอย่างเป็นทางการ[cite: 191].
  13. สมาชิกคนแรกของคริสตจักรเพชรบุรี: คนสยามคนแรกที่ได้รับเกียรติเป็นสมาชิกอย่างเป็นทางการอีกสองปีต่อมาคือ “นายขาว”[cite: 191].

🛡️ ส่วนที่ 4: สงครามกลางเมืองอเมริกา และการทำงานร่วมกันอย่างมืออาชีพ

  1. ผลกระทบข้ามโลก: สงครามกลางเมืองอเมริกันมีผลกระทบต่อหมอสอนศาสนากลุ่มเล็กๆ ที่อยู่ห่างจากเหตุการณ์ไปถึงครึ่งโลก[cite: 192, 193].
  2. ฝ่ายใต้: คุณแมคกิลวารีมาจากรัฐนอร์ธแคโรไลนา และ สนับสนุนฝ่ายใต้ อย่างแข็งขัน[cite: 193].
  3. ฝ่ายเหนือ: คุณแมคฟาร์แลนด์กับภรรยามาจากรัฐเพนซิลเวเนียตะวันตก และมีความรู้สึกเป็น ฝ่ายเหนือ อย่างเข้มข้น[cite: 193].
  4. การรับข่าวสาร: ไปรษณีย์จะมาถึงพวกเขาเพียงเดือนละครั้ง[cite: 193].
  5. การอ่านข่าวสงคราม: แต่ละฝ่ายจะปิดบ้านของตนเพื่ออ่านจดหมาย/วารสาร และต่างก็อ่านข่าวสงครามอย่างกระตือรือร้น[cite: 193].
  6. ความอดกลั้นที่น่าทึ่ง (ตัวอย่าง): เมื่อมาพบกัน พวกเขาไม่กล้าพูดถึงเรื่องสงครามทั้งๆ ที่ต่างก็ครุ่นคิดอยู่เต็มอก[cite: 193].
  7. ความสามัคคีในการทำงาน: บุคคลเหล่านี้ใช้ชีวิตและทำงานหนักร่วมกันอย่างใกล้ชิดตลอดเวลาที่สงครามกลางเมืองยังคงอยู่ โดยที่ไม่มีการขัดแย้งกันแม้แต่คำเดียว[cite: 194].
  8. หัวข้อสนทนาที่ปลอดภัย (ตัวอย่าง): เพื่อทำลายความเงียบในวงสนทนาที่ตึงเครียด คุณแมคกิลวารีเลือกที่จะถามถึง “หนี้สินที่อังกฤษก่อขึ้น” แทนเรื่องสงคราม[cite: 193, 194].

📚 ส่วนที่ 5: งานด้านการศึกษาและการพัฒนาสตรี

  1. การพัฒนาการศึกษา: งานด้านการศึกษาพัฒนาอย่างรวดเร็ว เนื่องจากได้รับการสนับสนุนและอุปถัมภ์จากผู้รักษาการณ์ข้าหลวง[cite: 196].
  2. อาคารเรียนหลังแรก: เป็นอาคารขนาดเล็ก ตั้งอยู่ด้านหน้าของที่ดิน[cite: 196].
  3. ลักษณะอาคาร: มีพื้นไม้สักยกสูง 3 ฟุต มีกำแพงก่ออิฐ 1 ด้าน กำแพงไม้ไผ่ 3 ด้าน และหลังคามุงจาก[cite: 196].
  4. การใช้งานคู่กัน: อาคารหลังนี้ใช้เป็น โบสถ์แห่งแรก ไปด้วยในตัว[cite: 196].
  5. ผู้ดูแล: โรงเรียนเปิดทำการภายใต้การดูแลของมิสซิสแมคฟาร์แลนด์[cite: 196].
  6. การวางตัวอย่าง: การสมัครเข้าเรียนของบุตรชายท่านข้าหลวง เป็นการวางตัวอย่างที่ดีให้ข้าราชการและบุคคลทั่วไปปฏิบัติตาม[cite: 196].
  7. ความท้าทายในการสอนสตรี: การสอนสตรีและเด็กผู้หญิงเป็นไป ช้ากว่าและพัฒนายากกว่า[cite: 203].
  8. อุปสรรคการเรียน: ผู้หญิงส่วนใหญ่มีภาระงานบ้าน, ร้านค้า, และงานในทุ่งนา ทำให้การศึกษาไม่ดึงดูดใจพวกเขา[cite: 203].
  9. วิธีสร้างแรงจูงใจ (ตัวอย่าง): มิสซิสแมคฟาร์แลนด์ใช้วิธี “จ่ายชดเชยเวลา” ที่พวกเขามาเข้าโรงเรียน[cite: 203].
  10. งานฝีมือที่สอน: นอกจากสอนหนังสือแล้ว ยังมีการสอนและฝึกหัดงานฝีมือ เช่น การเย็บเสื้อกั๊กตัวงามที่มีกระดุมติดอยู่ด้านหน้า[cite: 203].
  11. นวัตกรรมเครื่องจักร: หมอสอนศาสนาเป็นผู้นำ จักรเย็บผ้า เข้ามาในอาณาจักรสยามเป็นครั้งแรก[cite: 203].
  12. ผู้บุกเบิกในเพชรบุรี: มิสซิสแมคฟาร์แลนด์เป็นคนแรกที่นำจักรเย็บผ้าไปเพชรบุรี[cite: 203].
  13. ฉายาใหม่ของเมือง: ต่อมาเพชรบุรีจึงเป็นที่รู้จักกันในนามของ “เมืองแห่งจักรเย็บผ้า”[cite: 203].
  14. การเริ่มงานด้านสตรี: การสอนสตรีและเด็กผู้หญิงจึงเริ่มขึ้นอย่างพอประมาณด้วยวิธีนี้[cite: 203].

🚀 ส่วนที่ 6: การขยายงานและนวัตกรรมในการเผยแพร่

  1. งานเผยแพร่ประจำ: คุณแมคฟาร์แลนด์ทำงานด้านท้องถิ่น ประกอบพิธีทางศาสนา และฝึกอบรมผู้ที่จะเข้าพิธีรับบัพติศมา[cite: 205].
  2. จุดเริ่มต้นการมองไปทางเหนือ: คุณแมคกิลวารีเริ่มสนใจ “เจ้านายลาว” ที่เดินทางมาจากทางตอนเหนือและจอดพักเรืออยู่หน้าคณะมิชชัน[cite: 205].
  3. กลุ่มเชลยศึก: ความสนใจเพิ่มมากขึ้นเมื่อท่านพบหมู่บ้านของ เชลยศึกชาวลาว ที่ถูกจับมาที่เพชรบุรี[cite: 206].
  4. การตอบสนองที่รวดเร็ว: แม้ผู้คนเหล่านี้จะพูดภาษาที่แตกต่างและหมอสอนศาสนามีความรู้ทางภาษาสยามจำกัด แต่พวกเขาก็ตอบสนองคำสอนของพระเยซูคริสต์อย่างรวดเร็ว[cite: 206].
  5. วิสัยทัศน์: คุณแมคกิลวารีเริ่มมองเห็นภาพของผู้คนที่ต้องการรับคำสอนของพระเยซูคริสต์ทางตอนเหนือของสยามในปี ค.ศ. 1863[cite: 206].
  6. การเดินทางค้นหาข้อมูล: คุณแมคกิลวารีชวนศาสนาจารย์ โจนาธาน วิลสัน เดินทางไปเสาะหาข้อมูลในเขตเหนือ[cite: 206].
  7. ระยะเวลาการเดินทาง: การเดินทางที่เต็มไปด้วยความหวังครั้งนั้นใช้เวลาถึง 79 วัน[cite: 206].
  8. การก่อตั้งคริสตจักรอย่างเป็นทางการ: คริสตจักรเพชรบุรีก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1863[cite: 207].
  9. สมาชิกผู้ก่อตั้ง: มีสมาชิกชาวสยามสามคนร่วมกับพวกหมอสอนศาสนา[cite: 207].
  10. การขยายตัว: การขยายตัวของคริสตจักรเป็นไปอย่างรวดเร็วตั้งแต่เริ่มต้น[cite: 210].
  11. การย้ายถิ่นฐาน: ในปี ค.ศ. 1867 คุณแมคกิลวารีกับภรรยาและลูกสองคนออกเดินทางไปเชียงใหม่เพื่อเริ่มงานใหม่[cite: 211].
  12. การสร้างบ้านพัก: ในช่วงที่คุณแมคกิลวารีไม่อยู่ คุณแมคฟาร์แลนด์ใช้เวลาส่วนใหญ่สร้างเคหะทำจากอิฐที่มั่นคงและสุขสบายใจให้กับครอบครัว[cite: 212].
  13. นักเทศน์ชาวสยามคนแรก: ในปี ค.ศ. 1867 นายคล้ายซึ่งเป็นคนเพชรบุรี ได้รับใบอนุญาตให้เป็น นักเทศน์ชาวสยามคนแรก ในการประชุมคริสตจักรภาคเพรสไบทีเรียนแห่งสยาม[cite: 214].
  14. ผู้ฝึกสอน: นายคล้ายได้รับการฝึกฝนเล่าเรียนจากคุณแมคฟาร์แลนด์[cite: 214].

⛪ ส่วนที่ 7: โครงการก่อสร้างโบสถ์และแหล่งทุนที่มาจากสยาม

  1. โครงการใหญ่: งานสำคัญต่อไปที่คุณแมคฟาร์แลนด์ทำคือการสร้างสถานสักการะ (โบสถ์) ด้วยอิฐ[cite: 214].
  2. ความยากลำบากในการก่อสร้าง: พวกเขาต้อง ทำอิฐและเผาอิฐด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นกระบวนการที่เชื่องช้ามากในสยามขณะนั้น[cite: 214].
  3. ความละเอียดอ่อน: การก่อสร้างต้องบอกรูปร่างอาคารและรายละเอียดแก่คนงานทีละอย่างๆ ซึ่งต้องใช้ความอดทนสูง[cite: 214].
  4. ความทุ่มเท: หมอสอนศาสนาอายุน้อยเหล่านี้ต้องใช้ความอดทนและการดูแลควบคุมรายละเอียดอย่างไม่ย่อท้อ[cite: 214].
  5. ความสำเร็จ: หลังจากทำงานอย่างต่อเนื่องถึง สามปี งานก็เสร็จสมบูรณ์ และมีพิธีถวายโบสถ์แห่งใหม่ ในปี ค.ศ. 1872[cite: 214].
  6. วันแห่งความปิติ: วันถวายโบสถ์เป็นวันแห่งความปิติโสมนัสอย่างยิ่งสำหรับคริสตศาสนิกชนกลุ่มเล็กๆ ในเพชรบุรี ที่เห็นอาคารใหม่ที่สร้างขึ้นด้วยมือของพวกเขา[cite: 215].
  7. ผู้เทศน์ในพิธี: ศาสนาจารย์ คอร์เนเลียส บี. บรัดเลย์ บุตรคนโตของหมอบรัดเลย์จากบางกอก เป็นผู้เทศน์ในการสถาปนา[cite: 215].
  8. การเดินทางด้วยเรือนแพ (ตัวอย่าง): คุณแมคฟาร์แลนด์ริเริ่มใช้ “เรือนแพ” เดินทางไปตามแม่น้ำลำคลอง[cite: 216].
  9. หน้าที่ของเรือนแพ: เรือนแพใช้เป็นที่หลับนอนในตอนกลางคืน และเป็นห้องพยาบาล/แจกจ่ายเอกสารคำสอนในตอนกลางวัน[cite: 216, 236].
  10. นวัตกรรมบนบก (ตัวอย่าง): สำหรับงานบนบก ท่านประดิษฐ์และสร้าง “รถล้อเดียว” (wheelbarrow) ที่สามารถวางของและทรงตัวได้ดี[cite: 236].
  11. การเดินทางด้วยรถ: หมอสอนศาสนาท่านนี้เดินทางกับ “ม้า” ตัวเล็กๆ ตัวนี้ (หมายถึงรถล้อเดียว) ไปยังหมู่บ้านต่างๆ[cite: 236].
  12. ผลลัพธ์การเผยแพร่: บรรดาหมู่บ้านที่อยู่รายล้อมเพชรบุรีทั้งหมดจึงเป็นเขตที่ท่านไปเยือนและเผยแพร่พระวจนะของพระเยซูคริสต์[cite: 236].
  13. นโยบายการอยู่อาศัย: ทางมิชชันมีนโยบายให้ครอบครัวคริสเตียนอาศัยอยู่บนที่ดินของศูนย์พันธกิจมากที่สุดเท่าที่จะทำได้[cite: 237].
  14. ปัญหาความปลอดภัย (ตัวอย่าง): รั้วไม้ไผ่ที่ล้อมอาณาเขตไม่แข็งแรงพอที่จะ “ขับไล่ซาตานกับตัวแทนของมัน” ทำให้มีการบุกรุกเข้ามาบ่อยครั้ง (แสดงถึงความเปราะบางของสิ่งปลูกสร้าง)[cite: 237].

🎶 ส่วนที่ 8: หนังสือเพลงนมัสการและวิกฤตการเงิน

  1. โครงการหนังสือเพลง: ครอบครัวแมคฟาร์แลนด์นำแม่พิมพ์บทเพลงเพื่อพิมพ์หนังสือเพลงนมัสการภาษาสยามกลับมาด้วย[cite: 242].
  2. วิธีการพิมพ์: บทเพลงเหล่านี้พิมพ์ด้วย แท่นพิมพ์ไม้ ซึ่งคุณแมคฟาร์แลนด์เป็นผู้ทำขึ้น[cite: 242].
  3. ผู้สนับสนุนเงินทุน: โรงเรียนรวีวารศึกษากับสมาคมมิชชันนารีหลายแห่งบริจาคเงินคนละห้าดอลล่าร์เพื่อซื้อแม่พิมพ์[cite: 242].
  4. ผู้แปล: ครูพูน ซึ่งเป็นครูสอนภาษา เป็นคนเดียวที่ทำหน้าที่แปลเพลงนมัสการเหล่านั้นเป็นภาษาสยาม[cite: 242].
  5. ความท้าทายในการแปล: ครูพูนไม่รู้จักทำนองต่างชาติ จึงต้องมีการสอนทำนองให้ท่านก่อน แล้วจึงแปลบทเพลงให้เข้ากับทำนอง[cite: 242].
  6. ความจำเป็นในการขยายอาคาร: จำนวนอาคารไม่เพียงพอต่อการขยายงานโรงเรียนด้านการเรือน จึงต้องมีการก่อสร้างอาคารอิฐขนาดใหญ่[cite: 243].
  7. ค่าใช้จ่ายสูง: อาคารดังกล่าวใช้เวลาสองปีและเสียค่าใช้จ่าย 4,000 เหรียญ[cite: 243].
  8. คำมั่นสัญญา: กรรมการคณะมิชชันสัญญาว่าจะให้เงินจำนวน 4,000 เหรียญ[cite: 243].
  9. วิกฤตการเงิน (ตัวอย่าง): กรรมการคณะมิชชันไม่อาจเติมเต็มคำมั่นสัญญาได้ และแจ้งว่าไม่สามารถพึ่งพาเงินที่เหลืออีก 2,000 เหรียญ ได้[cite: 244].
  10. การช่วยเหลือจากสยาม: มิตรชาวสยามเสนอให้ถวายฎีกาต่อกษัตริย์เพื่อขอบริจาคภายในสยาม[cite: 246].
  11. พระราชทานทุน: พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ทรงพระราชทานเงิน 1,000 เหรียญ[cite: 246].
  12. แหล่งทุนอื่น: เงินที่เหลือมาจากพระญาติวงศ์กับขุนนาง[cite: 246].
  13. ผลลัพธ์: อาคารโรงเรียนสองชั้นจึงได้ก่อสร้างขึ้นและใช้สืบมาจนกระทั่งทุกวันนี้[cite: 246].

🔄 ส่วนที่ 9: การโยกย้ายและการก่อตั้งโรงพยาบาลแห่งแรก

  1. การเปลี่ยนงานของ ดร.แมคฟาร์แลนด์: พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดให้ ดร.แมคฟาร์แลนด์มาทำงานถวายพระองค์[cite: 252].
  2. โรงเรียนหลวง: ดร.แมคฟาร์แลนด์เดินทางไปบางกอกและก่อตั้ง โรงเรียนหลวงสำหรับขุนนางที่สวนอนันต์ ในปี ค.ศ. 1878[cite: 252].
  3. คริสตจักรแห่งแรกของสยามใต้: ก่อนออกจากเพชรบุรี ท่านได้ก่อตั้งคริสตจักรท้องถิ่นแห่งแรกในเขตสยามใต้ คือ คริสตจักรที่บางตะบูน โดยมีสมาชิกผู้ก่อตั้งเก้าคน[cite: 252].
  4. การแพทย์และการสร้างโรงพยาบาล: ดร.อี. เอ. สเตอร์จ เดินทางมาถึงในปี ค.ศ. 1880 และเป็นผู้สร้าง โรงพยาบาลที่เพชรบุรี ซึ่งนับเป็น โรงพยาบาลแห่งแรกในอาณาจักรสยาม[cite: 255].
  5. ความผันผวนของเจ้าหน้าที่: หลังจากนั้นศูนย์พันธกิจเพชรบุรีประสบกับความผันผวนและการเปลี่ยนแปลงเจ้าหน้าที่อย่างมากมายหลายครั้งในช่วงเวลาสองสามปีต่อมา ส่วนใหญ่เกิดจากปัญหาด้านสุขภาพ[cite: 253, 254, 256, 257].

Ch8

สวัสดีครับ! ยินดีสรุปเรื่องราวการก่อตั้ง ศูนย์พันธกิจเชียงใหม่ ที่เต็มไปด้วยการผจญภัย ความศรัทธา และเหตุการณ์สุดระทึกในอดีต ให้เข้าใจง่ายและอ่านสนุกๆ เป็นข้อๆ เลยครับ! (เน้นเรื่องราวจากปี ค.ศ. 1867 เป็นหลัก)

เนื่องจากเนื้อหามีความเข้มข้น ผมขอแบ่งเป็น 5 ส่วนหลัก และสรุปให้คุณได้ไปอ่านต่ออย่างจุใจตามที่ขอมาครับ


🌟 ส่วนที่ 1: จุดเริ่มต้นของความฝันและการผจญภัย (The Vision and Venture)

ศูนย์พันธกิจเชียงใหม่ที่ก่อตั้งโดยมิชชันนารีเพรสไบทีเรียนถือเป็นหนึ่งในศูนย์ที่โดดเด่นและห่างไกลที่สุดในราชอาณาจักรสยาม [cite: 184]

  1. ชื่อภารกิจที่ตั้งขึ้น: ศูนย์พันธกิจเชียงใหม่ (Chiang Mai Mission Center) [cite: 183]
  2. ปีแห่งการก่อตั้งอย่างเป็นทางการ: ค.ศ. 1867 (พ.ศ. 2410) [cite: 183]
  3. ผู้ดูแลหลัก: คณะกรรมการมิชชันเพรสไบทีเรียนโพ้นทะเล [cite: 184]
  4. แนวคิดการก่อตั้ง: เน้นแนวคิดแบบ นักผจญภัย เพราะเป็นการบุกเบิกในพื้นที่ห่างไกล ไม่ใช่เน้นความปลอดภัย [cite: 184]
  5. ทำเลที่ตั้งสุดพิเศษ: ตั้งอยู่ในหุบเขาลุ่มแม่น้ำปิงอันงดงาม ครอบคลุมพื้นที่มณฑลเชียงใหม่และลำพูน [cite: 184]
  6. สถิติสำคัญในยุคนั้น: มีสมาชิกคริสตศาสนิกชนกว่า 2,300 คนในพื้นที่นี้ ซึ่งคิดเป็นประมาณสองในห้าของคริสตศาสนิกชนทั้งหมดในสยามเลยทีเดียว! [cite: 184]
  7. ผู้บุกเบิกคนสำคัญ: ศาสนาจารย์ ดร. แดลเนียล เอ็ม. แมคกิลวารี (Dr. Daniel M. McGilvary) [cite: 185, 199]
  8. ความฝันสูงสุดของ ดร.แมคกิลวารี: ท่านต้องการเห็นคนเชื้อสายไททั้งหมดในภูมิภาคนี้มารับฟังพระวจนะของพระเยซูคริสต์ [cite: 185]
  9. มาถึงสยามครั้งแรก: ดร.แมคกิลวารีเดินทางมาสยามตั้งแต่ปี ค.ศ. 1858 [cite: 186]
  10. รู้จักผู้ใหญ่: ท่านรู้จักเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่มาก่อนจากการที่พระองค์เสด็จมาพักขบวนเรือใกล้บ้านท่านในบางกอก [cite: 186]
  11. แรงบันดาลใจจากเพชรบุรี: ก่อนไปเชียงใหม่ ท่านเคยไปเยี่ยมชุมชนเชลยศึกชาวลาวที่อาศัยอยู่ใกล้เพชรบุรีมาแล้ว [cite: 186]
  12. เดินทางบุกเบิก (รอบแรก): ในปี ค.ศ. 1863 ท่านกับเพื่อนร่วมชั้น คือ ดร. วิลสัน ได้เดินทางไปสำรวจทางเหนือและพักอยู่ที่เชียงใหม่สิบวัน [cite: 187]
  13. ประทับใจตั้งแต่แรกเห็น: ท่านบันทึกไว้ว่า “เวลาเพียงวันเดียวก็เพียงพอที่จะโน้มน้าวใจเรา” และตัดสินใจทุ่มเทชีวิตให้เชียงใหม่ [cite: 187]
  14. ปัญหาภายใน: แผนเปิดศูนย์ฯ ที่ห่างไกลนี้ไม่ได้รับการสนใจจากคณะมิชชันในบางกอกในตอนแรก เพราะขาดแคลนบุคลากรอยู่แล้ว [cite: 187]
  15. การเอาชนะฝ่ายค้าน: ดร.แมคกิลวารีใช้เวลาจนถึงฤดูใบไม้ร่วงปี ค.ศ. 1866 จึงสามารถเอาชนะฝ่ายค้านในคณะมิชชันและเริ่มเตรียมงานได้ [cite: 190]
  16. ผู้ที่มีอำนาจจริง: การอนุมัติขั้นสุดท้ายต้องขึ้นอยู่กับ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ ซึ่งขณะนั้นกำลังประทับอยู่ในบางกอก [cite: 194]

👑 ส่วนที่ 2: ฉากขออนุญาตสุดฮาและของสนับสนุนสุดเซอร์ไพรส์

เรื่องราวการขออนุญาตตั้งศูนย์ฯ ในเชียงใหม่มีรายละเอียดที่น่าสนใจและเต็มไปด้วยสีสัน!

  1. ตัวช่วยคนสำคัญ: คุณฮูด กงสุลอเมริกัน ตกลงให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ [cite: 194]
  2. การขออนุมัติ: มีการถวายสาสน์ต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4 หรือ 5 แล้วแต่ช่วงปี) ผ่านเสนาบดีกระทรวงต่างประเทศ [cite: 194]
  3. คำตอบจากสยาม: รัฐบาลสยามไม่สามารถ “บังคับคนลาว” (คนทางเหนือ) ได้ แต่ถ้าเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ทรงอนุมัติ รัฐบาลสยามก็จะอนุมัติด้วย [cite: 194]
  4. สถานที่สำคัญในการอนุมัติ: การเข้าเฝ้าเพื่อขออนุมัติไม่ได้เกิดขึ้นในท้องพระโรง แต่เป็นที่ ศาลาริมท่าน้ำ ที่ขบวนเรือลาวจอดพักอยู่ [cite: 194]
  5. บรรยากาศที่น่าขัน: ดร.แมคกิลวารีเล่าว่าการกำเนิดของมิชชันลาว “น่าขันพอสมควรทีเดียว” เพราะท้องพระโรงคือศาลาท่าน้ำใต้ร่มเงาของวัดพุทธ [cite: 203]
  6. ฉลองพระองค์แบบเรียบง่าย: เจ้าผู้ครองนครทรงปรากฏพระองค์ในฉลองพระองค์แบบเรียบง่าย คือทรงผ้านุ่งแต่ไม่มีเสื้อ และมีผ้าพาดไหล่แบบหลวมๆ [cite: 194]
  7. ท่าประทับที่ไม่เป็นทางการ: ทรงนั่งในอิริยาบถที่ทรงโปรด คือ ห้อยขาขวาบนเข่าซ้าย ขณะทรงถามธุระ [cite: 196]
  8. การอนุมัติทันที: เจ้าผู้ครองนครทรงอนุมัติให้ตั้งรกรากในเชียงใหม่ได้ทันที และทรงโล่งพระทัยที่ธุระของมิชชันนารี “ไม่ได้สำคัญเกินไปกว่านั้น” [cite: 196]
  9. สิทธิพิเศษด้านที่ดิน: ทรงบอกว่าที่ดิน “ราคาถูกและไม่จำเป็นต้องซื้อด้วยซ้ำไป” และอนุญาตให้สร้างบ้านด้วยอิฐหรือไม้ก็ได้ [cite: 196]
  10. วัตถุประสงค์ที่ชัดเจน: เจ้าผู้ครองนครทรงทราบวัตถุประสงค์ของการมาคือ เผยแพร่ศาสนา จัดตั้งโรงเรียน และรักษาคนป่วย [cite: 196]
  11. การสนับสนุนจากบางกอก (สิ่งของ): สมาคมเย็บปักสตรีบริจาคของให้คริสตจักรใหม่ และคุณหมอเจมส์ แคมป์เบลล์ ให้ยารักษาโรคพร้อมหนังสือคู่มือ [cite: 204]
  12. ของป้องกันตัวสุดเซอร์ไพรส์: ท่านกงสุลเยอรมันบริจาค ปืนไรเฟิลจากปรัสเซีย ให้ ดร.แมคกิลวารี เพื่อใช้ป้องกันตัวเองในการเดินทาง [cite: 204]

🚶‍♀️ ส่วนที่ 3: บททดสอบของการบุกเบิก (The Hardship and Breakthrough)

การเดินทางและชีวิตในช่วงแรกเป็นบททดสอบความอดทนของคณะมิชชันนารีอย่างแท้จริง

  1. วันออกเดินทางจริง: 3 มกราคม ค.ศ. 1867 [cite: 208]
  2. เพื่อนร่วมทาง: ดร.แมคกิลวารีและครอบครัวออกเดินทางก่อน โดยทิ้งครอบครัว ดร.วิลสัน ไว้ให้ตามมาปีหน้า [cite: 208]
  3. การเดินทางสุดโหด: การเดินทางไปตามแม่น้ำปิงต้องเผชิญกับ เกาะแก่งมากกว่า 40 แห่ง [cite: 211]
  4. ระยะเวลาเดินทาง: ใช้เวลาถึง 3 เดือนเต็มกว่าจะถึงเชียงใหม่ (ถึง 3 เมษายน ค.ศ. 1867) [cite: 211]
  5. สภาพเมืองเชียงใหม่: เป็น “เมืองป่า” ที่ไม่มีเพื่อน ไม่มีบ้านเช่า ไม่มีโรงแรม และไม่มีแม้แต่บริการไปรษณีย์หรือโทรเลข [cite: 209]
  6. หมอคือยาเอง: สิ่งเดียวที่ใช้ช่วยรักษาความเจ็บป่วยคือ กล่องเครื่องยากับหนังสือ “ยาประจำบ้านสำหรับอินเดีย” [cite: 209]
  7. คำเปรียบเทียบจากสยาม: เจ้าหน้าที่ชั้นสูงของสยามมองว่าเจ้าผู้ครองนคร (คนเก่า) นั้น “แข็งราวกับเมล็ดธัญพืชที่ยากต่อการกะเทาะ” (บ่งบอกว่าความสัมพันธ์ขึ้นอยู่กับอารมณ์) [cite: 209, 210]
  8. ที่พักพิงแห่งแรก: เป็นที่พักสาธารณะเล็กๆ ขนาด 12 x 20 ฟุต มีฝาเรือนและหลังคาแค่บางส่วน [cite: 211]
  9. พักชั่วคราวแต่ยาวนาน: พวกเขาอาศัยอยู่ในที่พักสาธารณะและที่อยู่ชั่วคราวอื่นๆ รวมกันกว่า แปดปี [cite: 211]
  10. ไม่มีความเป็นส่วนตัว: ผู้คนในเมืองเบียดเสียดเข้ามาด้วยความอยากรู้อยากเห็น เพื่อดูพวกเขากินข้าว ใช้มีด/ส้อม และแม้แต่ดูขนมปัง [cite: 211, 214]
  11. ปีที่รวดเร็วและเป็นสุข: แม้จะอยู่ตามลำพังและไม่มีข่าวคราวหลายเดือน แต่ ดร.แมคกิลวารีกลับบันทึกว่าปีแรกเป็นปีที่ “โบยบินไปอย่างรวดเร็วและอย่างเป็นสุข” [cite: 216]
  12. กำลังใจชั้นดี: ลูกสองคน (สามขวบและหกขวบ) เป็นที่พึ่งทางใจของพวกเขาอย่างแท้จริง [cite: 216]
  13. ความสุขเพิ่มขึ้น (ค.ศ. 1868): ดร.วิลสันและภรรยาเดินทางมาถึงในเดือนกุมภาพันธ์ เพื่อร่วมงานบุกเบิก [cite: 217]
  14. คริสตจักรแรกกำเนิด: มีการก่อตั้ง คริสตจักรแห่งแรก ในหมู่คนลาวหรือคนไทของสยามตอนเหนือ [cite: 217]
  15. ผู้เปลี่ยนศาสนาคนแรก: หนานอินต๊ะ ได้เข้าพิธีรับบัพติศมาเป็นคนแรก [cite: 217]
  16. มิตรภาพชนชั้นสูง: เจ้าหญิงซึ่งเป็นพระมารดาของเจ้าอินทนนท์ (เจ้าผู้ครองนครคนก่อน) และพระภิกษุรูปหนึ่ง แสดงความเมตตาและยอมรับในความดีงามของพระเยซูคริสต์ [cite: 218]

🩸 ส่วนที่ 4: การประหารชีวิตและการแทรกแซงจากบางกอก (Persecution and Intervention)

ช่วงนี้คือจุดพลิกผันที่เต็มไปด้วยความน่าสะพรึงกลัวและความกล้าหาญ

  1. จุดเริ่มต้นของความนิยม: ประชาชนเริ่มไว้ใจและเชื่อถือหมอสอนศาสนามากขึ้นจากการ รักษาทางการแพทย์ [cite: 219]
  2. นวัตกรรมทางการแพทย์: ดร.แมคกิลวารีวางรากฐานสำคัญด้วยการแสดงผลดีของ ยาควินิน ในการรักษาโรคมาเลเรีย [cite: 219]
  3. การปลูกฝีช่วยชีวิต: ท่านยังนำการ ปลูกฝี เพื่อป้องกันฝีดาษ ซึ่งช่วยชีวิตผู้คนจำนวนมาก [cite: 219]
  4. การได้ที่ดินถาวร (อีกครั้ง): ใน ค.ศ. 1868 เจ้าผู้ครองนครประทานที่ดินผืนหนึ่งให้มิชชันสร้างที่อยู่ถาวร [cite: 220]
  5. ความรับผิดชอบของมิชชัน: แม้เจ้าผู้ครองนครจะปฏิเสธค่าชดเชยที่ดิน แต่เมื่อทราบว่าเจ้าของที่ดินตัวจริงไม่ได้รับเงิน มิชชันนารีก็จ่ายค่าที่ดินให้ในภายหลัง (แสดงความยุติธรรม) [cite: 223]
  6. สี่อาคารหลักแรก: มีการสร้างบ้าน ดร.แมคกิลวารี, บ้าน ดร.วิลสัน, โรงเรียนหญิง, และที่พักครูต่างชาติ (อาคารเหล่านี้ยังคงใช้อยู่) [cite: 223]
  7. ชนวนความเดือดร้อน: ในกลางปี ค.ศ. 1869 ผู้ใหญ่ในชุมชน สามคน ฝากชะตาชีวิตไว้กับศาสนาใหม่ (รับเชื่อ) [cite: 224]
  8. เบื้องหลังความริษยา: เจ้าผู้ครองนครเริ่มวางแผนกำจัดมิชชันนารีเพราะ ทรงริษยาในความนิยม และได้รับการยุยงจากคนโปรตุเกสคนหนึ่ง [cite: 225]
  9. วันแห่งความสูญเสีย: วันที่ 14 กันยายน เจ้าผู้ครองนครสั่งให้ประหารชีวิต หนานชัย กับ น้อยสุนยะ [cite: 226]
  10. วิธีการประหาร: ทั้งสองถูกประหารด้วยการ ทุบตีด้วยกระบองจนสิ้นใจ [cite: 226]
  11. กว่าจะรู้ความจริง: หมอสอนศาสนาทราบข่าวการประหารหลังจากนั้นถึง สองสัปดาห์ [cite: 226]
  12. วิธีการบอกใบ้: เพื่อนบ้านของผู้ตายแอบมาเล่าให้ฟัง โดยใช้มือ กรีดลำคอ แทนคำพูดเพื่อรักษาความลับ [cite: 226]
  13. บรรยากาศความกลัว: คนรับใช้ต่างลาออก ผู้คนมาขอยาน้อยลง คริสตศาสนิกชนไม่กล้ามาร่วมพิธีศาสนา [cite: 226]
  14. การบันทึกลับ: พวกหมอสอนศาสนาต้องบันทึกเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้นไว้ตรง ขอบหนังสือในห้องสมุด [cite: 230]
  15. ผู้ส่งสาร: ไม่มีคนลาวคนใดยอมเสี่ยงนำจดหมายไปบางกอก ต้องอาศัย คนพม่าที่อยู่ใต้อาณัติอังกฤษ ในการส่งข่าว [cite: 230]
  16. คณะผู้แทนสยามมาถึง: ราชสำนักสยามแต่งตั้งคณะผู้แทนมาช่วย ในวันที่ 27 พฤศจิกายน มาถึงพร้อมขบวนช้าง 18 เชือก และผู้ติดตาม 53 คน [cite: 231]
  17. สาสน์ตราทองคำ: ผู้แทนพระองค์นำตราทองคำซึ่งใช้กับสาสน์ของผู้สำเร็จราชการ มาถวายเจ้าผู้ครองนคร [cite: 234]
  18. คำตรัสท้าทาย: ดร.แมคกิลวารีกล่าวหาเจ้าผู้ครองนครอย่างกล้าหาญว่าประหารราษฎรเพราะนับถือคริสต์ [cite: 235]
  19. คำยืนยัน: เจ้าผู้ครองนครทรงยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น และตรัสย้ำว่าชะตากรรมแบบเดียวกันนี้จะเกิดขึ้นกับทุกคนที่ละทิ้ง “ศาสนาของรัฐ” [cite: 235]
  20. การตัดสินใจ (ชั่วคราว): มีการตกลงที่จะทิ้งมิชชันไป ชั่วขณะหนึ่ง [cite: 236]

💫 ส่วนที่ 5: การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่และมรดกแห่งศรัทธา (The Legacy)

เหตุการณ์พลิกผันครั้งใหญ่ทำให้สถานการณ์เปลี่ยนไปในที่สุด และงานมิชชันก็กลับมาเติบโตอย่างแข็งแกร่ง

  1. การสิ้นพระชนม์ของเจ้าผู้ครองนคร: เจ้าผู้ครองนครซึ่งถูกเรียกตัวไปบางกอก สิ้นพระชนม์ ขณะเสด็จกลับจวนจะถึงเชียงใหม่เพียงไม่กี่ไมล์ [cite: 237]
  2. อาถรรพ์กฎหมายตัวเอง: เนื่องจากกฎหมายของพระองค์เองที่ห้ามนำร่างผู้ตายผ่านประตูเมือง ทำให้พระศพไม่อาจนำเข้าวังภายในตัวเมืองได้ (เชื่อกันว่าเป็นลางร้าย) [cite: 237]
  3. สันติภาพกลับมา: การสิ้นพระชนม์ของเจ้าผู้ครองนครขจัดการต่อต้านงานมิชชันที่สำคัญที่สุดไปได้ [cite: 238]
  4. วีรบุรุษผู้ไม่ยอมแพ้ (ยุคต่อมา): แม้มีการต่อต้านประปราย เช่น น้อยสิริถูกจองจำในปี ค.ศ. 1889 [cite: 238]
  5. ข้อหาที่ไม่จริง: น้อยสิริถูกจำขังด้วยข้อหาการเทศนาที่ทำให้ผู้เปลี่ยนศาสนาไม่ต้องเสียภาษี (ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่ไม่มีมูลความจริง) [cite: 238]
  6. ผลลัพธ์น่าทึ่งจากคุก: ในช่วง 8 เดือน 10 วันที่น้อยสิริถูกจองจำ คริสตจักรกลับมีสมาชิกเพิ่มขึ้นถึง 133 คน [cite: 238]
  7. สตรีผู้เป็นแบบอย่าง: ป้าคำมูล แม่หม้ายของน้อยสุนยะ (ผู้สละชีพ) เป็นสตรีคนแรกที่คริสตจักรรับเข้ามา [cite: 239]
  8. ทางเลือกที่แตกต่าง: แม่หม้ายของหนานชัย (ผู้สละชีพอีกคน) ปฏิเสธการเปลี่ยนศาสนา เพราะนำความเศร้าโศกมาสู่ชีวิตเธอ [cite: 239]
  9. การทดสอบความศรัทธา: แม่หม้ายหนานชัยเคยชวนป้าคำมูลให้ร่วมกัน สาปแช่งพระผู้เป็นเจ้า และกลับไปไหว้พระในวัด [cite: 240]
  10. การยืนหยัด: ป้าคำมูลปฏิเสธ และมักเรียกพวกลูกๆ ให้มาร่วม สวดอธิษฐานขอบคุณพระเจ้า ในตอนกลางคืน [cite: 242]
  11. มรดกแห่งความศรัทธา: ปัจจุบันลูกหลานของน้อยสุนยะ (ผ่านป้าคำมูล) มีอยู่ในคริสตจักรจำนวนมาก ขณะที่ลูกหลานของหนานชัยยังไม่มีใครเปลี่ยนศาสนาเลย [cite: 242]
  12. แพทย์เต็มเวลามาถึง: มกราคม ค.ศ. 1872 นายแพทย์ ซี. ดับบลิว. วรูแมน, เอ็ม.ดี. (C.W. Vrooman, M.D.) เดินทางมาถึงเชียงใหม่ [cite: 243]
  13. การแพทย์คือแกนหลัก: นับตั้งแต่นั้นมา งานด้านการแพทย์ก็ดำเนินไปอย่างดีและเป็นส่วนขยายงานที่สำคัญของมิชชัน [cite: 243]
  14. โรงพยาบาลใหญ่: รากฐานด้านการแพทย์ (ในขณะที่เขียน) ประกอบด้วย โรงพยาบาลขนาด 60 เตียง [cite: 243]
  15. การบริการเฉพาะทาง: มีห้องสูตินรีเวชแยกอีก 6 เตียง [cite: 243]
  16. ความใส่ใจต่อทุกศาสนา: มี ห้องพิเศษสำหรับพระภิกษุสงฆ์ โดยเฉพาะ [cite: 243]
  17. การดูแลชาวต่างชาติ: มีอาคาร 4 ห้องสำหรับคนไข้จากยุโรป [cite: 243]
  18. โรงเรียนพยาบาล: โรงพยาบาลยังเป็นผลสืบเนื่องในการก่อตั้ง โรงเรียนฝึกพยาบาล [cite: 243]
  19. สถาบันการศึกษาสำคัญที่ก่อตั้งขึ้น:
    • โรงเรียนพระคริสต์ธรรมแมคกิลวารี [cite: 184]
    • โรงเรียนปรินสรอยแยลส์วิทยาลัย [cite: 184]
    • โรงเรียนดาราวิทยาลัย [cite: 184]
  20. สถาบันการแพทย์สำคัญที่ก่อตั้งขึ้น:
    • โรงพยาบาลแมคคอร์มิค [cite: 184]
    • โรงเรียนพยาบาล [cite: 184]
    • สถานพยาบาลผู้ป่วยโรคเรื้อนเชียงใหม่ [cite: 184]

Ch9

เพื่อให้ง่ายต่อการอ่านและเข้าใจประวัติศาสตร์ของ ศูนย์พันธกิจลำปาง ในช่วงหนึ่งศตวรรษ (ค.ศ. 1885 - ค.ศ. 1928) [cite: 2, 72] ผมได้สรุปประเด็นสำคัญเป็นข้อๆ พร้อมทั้งแบ่งเป็นหมวดหมู่ และเพิ่มตัวอย่างประกอบเพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นครับ!


🌟 สรุปประเด็นสำคัญ: หนึ่งศตวรรษในสยาม - ศูนย์พันธกิจลำปาง (ค.ศ. 1885 - ค.ศ. 1928)

นี่คือเรื่องราวของศรัทธา ความมุ่งมั่น และการก่อตั้งรากฐานของคริสต์ศาสนาในลำปาง ผ่านสามเสาหลัก: คริสตจักร, โรงเรียน และการแพทย์ [cite: 22]

1️⃣ การก่อตั้งและจุดเริ่มต้น (The Big Start)

ลำดับประเด็นสำคัญตัวอย่าง/คำอธิบายเพิ่มเติม
1.ปีที่ก่อตั้งอย่างไม่เป็นทางการ คือ ค.ศ. 1885 [cite: 2, 5]ปีที่หมอสอนศาสนากลุ่มแรกไปประจำที่ลำปาง [cite: 5]
2.ผู้เปลี่ยนศาสนาคนแรก มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการเริ่มต้น [cite: 3]ท่านคือ พระยา สีหนาท ซึ่งการเปลี่ยนศาสนาของท่านถูกเปรียบกับการอ่านหน้าแรกจากพระธรรมกิจการของอัครทูต [cite: 3, 7]
3.การเปลี่ยนศาสนาของพระยา สีหนาท ใช้เวลาถึง 20 ปี [cite: 3]ท่านได้หนังสือพระวจนะมา แต่ไม่มีใครช่วยตีความให้ จนกระทั่งได้พบ ดร.แมคกิลวารี ที่เชียงใหม่ [cite: 3]
4.พระยา สีหนาทรับบัพติศมา ในวันที่ 8 พฤษภาคม ค.ศ. 1878 [cite: 3]เป็นการเริ่มต้นอย่างเป็นทางการของท่านในศาสนาคริสต์ [cite: 3]
5.พระยา สีหนาทสอนภรรยา ลูก และเพื่อน ทันทีที่กลับถึงเคหะ [cite: 3]แสดงถึงความมุ่งมั่นที่จะแบ่งปันความเชื่อที่เพิ่งได้รับมา [cite: 3]
6.คริสตจักรแรกในลำปางก่อตั้งขึ้น ภายใน 2 ปีหลังจากการรับบัพติศมาของพระยา สีหนาท [cite: 3]มีจำนวนคริสตศาสนิกชนเพียงพอที่จะจัดตั้งได้ [cite: 3]
7.พระยา สีหนาท เป็น ผู้ปกครองคนแรก ของคริสตจักรที่ก่อตั้งขึ้น [cite: 3]แสดงถึงบทบาทความเป็นผู้นำในชุมชนคริสเตียนท้องถิ่น [cite: 3]
8.พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.5) ทรงสนับสนุน การก่อตั้งศูนย์พันธกิจ [cite: 3]ทรงพระราชทาน ที่ดินผืนหนึ่ง [cite: 3]
9.พระมหากษัตริย์ทรงพระราชทานเงิน จำนวน 2,000 รูปี [cite: 3]เพื่อใช้ในการสร้างศูนย์พันธกิจและโรงพยาบาล [cite: 3]
10.หมอสอนศาสนากลุ่มแรก คือ ศาสนาจารย์ เอส. พีเพิลส์, เอ็ม.ดี. กับภรรยา [cite: 4]ดร.พีเพิลส์มีความเชี่ยวชาญ 2 ด้าน เหมาะสมอย่างยิ่งในการเปิดศูนย์ใหม่ [cite: 4]
11.ผู้ร่วมงานสมทบเพิ่มเติม คือ ศาสนาจารย์โจนาธาน วิลสัน, ดี.ดี. และหลานสาว มิสแคเธอรีน ฟลีสัน [cite: 5]ดร.วิลสันเดินทางกลับมาจากการลาพัก และมาเข้าร่วมงานใหม่นี้ [cite: 5]
12.ศาสนาจารย์ ฮิว เทเลอร์ กับภรรยา มาร่วมงานใน ค.ศ. 1888 [cite: 5]เป็นการเสริมทีมงานให้แข็งแกร่งขึ้น [cite: 5]
13.การก่อตั้งศูนย์พันธกิจลำปางอย่างเป็นทางการ เกิดขึ้นในวันที่ 21 มกราคม ค.ศ. 1889 [cite: 5]แม้หมอสอนศาสนาจะมาประจำตั้งแต่ ค.ศ. 1885 แต่การตั้งศูนย์อย่างเป็นทางการเกิดภายหลัง [cite: 5]
14.ดร.วิลสัน ได้รับเลือกเป็น ประธาน ในการก่อตั้งอย่างเป็นทางการ [cite: 10]เนื่องจากเป็นสมาชิกผู้ใหญ่ไม่ว่าจะในด้านอายุหรือประสบการณ์ [cite: 6, 10]
15.โครงการพิมพ์ภาษาลาว เริ่มต้นเมื่อศูนย์ฯ ก่อตั้งได้เพียง 6 เดือน [cite: 11]มีการมอบอำนาจให้คุณพีเพิลส์จัดหาแท่นพิมพ์ในขณะที่ท่านอยู่ในอเมริกา [cite: 11]
16.ที่มาของโรงพิมพ์เชียงใหม่ มาจากโครงการจัดซื้อแท่นพิมพ์ภาษาลาวนี้ [cite: 11]โรงพิมพ์นี้ได้ช่วยสนับสนุนงานทั้งหมดในสยามเหนือเกือบครึ่งศตวรรษ [cite: 11]
17.นายแพทย์ วิลเลียม บริกส์ เข้ามาดูแลทุนสนับสนุนโรงพยาบาลใน 14 มกราคม ค.ศ. 1890 [cite: 12]บันทึกสั้นๆ กล่าวถึงท่านและศาสนาจารย์ โรเบิร์ต เออร์วิน ที่เดินทางมาพร้อมกัน [cite: 12]
18.มีการพิจารณาบ้านถาวร ในปี 1891 [cite: 13]มีการซื้อท่อนซุงไม้สักในราคาถูกอย่างน่าอัศจรรย์ใจ [cite: 13]
19.การซื้อที่ดินเพื่อโรงเรียนชายประสบความสำเร็จ ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1891 [cite: 13]ที่ดินผืนนี้คือที่ตั้งของ โรงเรียนเคนเน็ต แมคเคนซี เมมโมเรียล ในเวลาต่อมา [cite: 13]

2️⃣ งานด้านคริสตจักรและการเผยแพร่ศาสนา (The Church & Missions)

ลำดับประเด็นสำคัญตัวอย่าง/คำอธิบายเพิ่มเติม
20.งานคริสตจักร โรงเรียน และการแพทย์ ประสบความสำเร็จไปพร้อมๆกันในช่วงปีแรกๆ [cite: 21, 22]เป็นการทำงานแบบองค์รวม 3 แผนก [cite: 22]
21.บุรุษสองท่าน ที่เป็นศูนย์กลางชีวิตคริสตจักรหลายปี คือ ศาสนาจารย์ โจนาธาน วิลสัน, ดี.ดี. และ ศาสนาจารย์ ฮิว เทเลอร์, ดี.ดี. [cite: 23]ทั้งสองท่านยืนหยัดต่อสู้กับความท้อถอยด้วยความมุ่งมั่น [cite: 24]
22.ดร.วิลสัน เป็นผู้รับหน้าที่ทางด้าน บทเพลงนมัสการภาษาลาว [cite: 27]งานแปลกที่ไม่มีหมอสอนศาสนาทางเหนือเคยทำมาก่อน [cite: 27]
23.ดร.วิลสันแปลบทเพลงนมัสการ ของอังกฤษและอเมริกากว่า 500 เพลง [cite: 27]เพื่อให้มีบทเพลงในภาษาท้องถิ่นสำหรับดินแดนที่มีดนตรีน้อย [cite: 27]
24.อิทธิพลของ ดร.วิลสัน ถูกเปรียบเทียบกับนักศาสนศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ [cite: 27, 28]ดร.แมคกิลวารีสดุดีว่า “อิทธิพลของท่านในคริสตจักรลาวอาจจะเปรียบได้กับวัตส์และเวสลีย์ของชนชาติอังกฤษ” [cite: 27, 28]
25.การขยายตัวของคริสตจักร เป็นไปอย่างช้าๆ ไปยังบริเวณใกล้เคียง [cite: 29]คริสตจักรมีเป้าหมายที่จะ “เริ่มต้นจากกรุงเยรูซาเลม” (ขยายจากส่วนกลางออกไป) [cite: 29]
26.การจัดตั้งโบสถ์หมู่บ้านครั้งแรก เริ่มต้นจากการเดินทางของ ดร.เทเลอร์กับภรรยาในปี 1891 [cite: 29]โบสถ์แรกจัดตั้งขึ้นที่เคหะของนายชา [cite: 29]
27.การจัดตั้งโบสถ์หมู่บ้านแห่งที่สอง เกิดขึ้นหลังจากคุณเออร์วินเดินทางไปยังเมืองยอน [cite: 29]เป็นการขยายงานไปยังดินแดนที่ห่างไกลออกไป [cite: 29]
28.ศาสนาจารย์ แอล. ดับบลิว. เคอร์ติส กับภรรยา เดินทางมาถึงในปี 1894 [cite: 30]ช่วยเสริมกำลังงานเผยแพร่ศาสนา [cite: 30]
29.มิสซิสเคอร์ติส เป็นผู้เขียนเรื่อง “คนลาวแห่งสยามเหนือ” [cite: 30]เป็นงานที่ช่วยให้ผู้คนรู้จักและเข้าใจชนชาติลาวในสยามเหนือ [cite: 30]
30.ศาสนาจารย์ ซี. อาร์. คาเลนเดอร์ เป็นผู้เผยแพร่ศาสนาที่สำคัญ [cite: 31]ท่านกับภรรยาเดินทางมาถึงในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1896 และต่อมาถูกส่งไปทำงานที่ลำปางเป็นครั้งที่สองใน ค.ศ. 1909 [cite: 31]
31.ดร.เทเลอร์ย้ายไปทำงานที่น่าน ในปี ค.ศ. 1908 [cite: 32]เป็นการขยายงานไปยังศูนย์พันธกิจแห่งใหม่ [cite: 32]
32.ศาสนาจารย์ ลอเรน ฮันนา เข้ามาดูแลงานเผยแพร่ศาสนา [cite: 32]เป็นหนึ่งในศาสนาจารย์ที่เข้ามาปฏิบัติหน้าที่ในช่วงเวลานั้น [cite: 32]
33.โบสถ์เจริญเติบโต อย่างเห็นได้ชัดและเป็นไปอย่างมีระเบียบแบบแผนในช่วงเวลา 14 ปี [cite: 37]เป็นช่วงที่ศาสนาจารย์หลายท่าน (เช่น กิลลิส, วินเซนต์, ฮาร์ตเซลล์) ทำหน้าที่เป็นศิษยาภิบาลร่วมกับ ดร.วิลสัน [cite: 36, 37]
34.คนท้องถิ่นลำปาง ค่อยๆ มีบทบาทมากขึ้นในคริสตจักรของตนเอง [cite: 37]เป็นการพัฒนาสู่การเป็นคริสตจักรท้องถิ่นที่เข้มแข็ง [cite: 37]
35.การก่อสร้างโบสถ์ฟลีสัน เมมโมเรียล เสร็จสมบูรณ์ในปี ค.ศ. 1926 [cite: 37]เป็นหนึ่งในโบสถ์ที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งในสยาม [cite: 37]
36.คนท้องถิ่นได้อุทิศเงิน ให้กับการก่อสร้างโบสถ์ฟลีสัน เมมโมเรียล [cite: 37]แสดงถึงความเป็นเจ้าของและความศรัทธาของชุมชน [cite: 37]
37.คริสตจักรลำปางพัฒนาเพื่อเลี้ยงตัวเองได้สำเร็จ ในช่วงทศวรรษสุดท้าย [cite: 37]จากกลุ่มคริสเตียนเล็กๆ กลุ่มแรก สู่คริสตจักรที่สามารถรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดได้ [cite: 37]
38.ค.ศ. 1928 มีศิษยาภิบาลเข้ารับผิดชอบงานเต็มที่ตามเงินเดือนที่ได้รับ [cite: 37]เป็นการยืนยันการเป็นคริสตจักรที่พึ่งพาตนเองได้ [cite: 37]

3️⃣ งานด้านการแพทย์และโรงพยาบาล (Healthcare & Hospital)

ลำดับประเด็นสำคัญตัวอย่าง/คำอธิบายเพิ่มเติม
39.ดร.พีเพิลส์ เริ่มงานด้านการแพทย์อย่างเรียบง่าย [cite: 22]ท่านใช้ทักษะ การรู้จักผ่อนหนักเป็นเบา และความเห็นอกเห็นใจในการขยายขอบข่ายของงาน [cite: 22]
40.ดร.บริกส์ ช่วยเพิ่มจำนวนอาคารและสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับงานการแพทย์ [cite: 40]ท่านมาถึงในปี ค.ศ. 1890 [cite: 12] และอยู่จนถึง ค.ศ. 1893 [cite: 40]
41.ดร.บริกส์ลาออกจากลำปาง ในวันที่ 11 สิงหาคม ค.ศ. 1893 [cite: 40]เพื่อไปก่อตั้งศูนย์พันธกิจแห่งใหม่ที่ เมืองแพร่ [cite: 40]
42.ศาสนาจารย์ เจ.เอส. ธอมัส, เอ็ม.ดี. กับภรรยา เข้ามาดูแลงานโรงพยาบาลต่อ [cite: 40, 41]ท่านมาพร้อมกับมิสจูเลีย แฮทช์ (มิสซิสฮิว เทเลอร์ในปัจจุบัน) [cite: 41]
43.ดร.ธอมัสและภรรยา ย้ายไปทำงานที่ศูนย์พันธกิจแห่งใหม่ที่ แพร่ [cite: 41]เนื่องจากท่านทั้งสามเป็นที่ต้องการของศูนย์แห่งใหม่นี้ [cite: 41]
44.นายแพทย์ คาร์ล ซี. แฮนเซน กับภรรยา เริ่มต้นยุคใหม่ของการแพทย์ [cite: 42]ท่านเป็นผู้นำด้านนี้ถึง 14 ปี และช่วยสร้างชื่อเสียงให้กับโรงพยาบาล [cite: 42]
45.ดร.แฮนเซนลาออกไป ในปี ค.ศ. 1908 [cite: 42]ท่านเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญยาวนานในด้านการแพทย์ [cite: 42]
46.ชาร์ลส์ เอช. ครู๊คซ์, เอ็ม.ดี. กับภรรยา รับหน้าที่ดูแลงานต่อ [cite: 42, 43]ท่านได้ดูแลงานการแพทย์ที่รู้จักกันในนาม โรงพยาบาลชาร์ลส์ ที. แวน แซนต์วูด กับห้องพยาบาลลำปาง [cite: 43]
47.มีการสร้างห้องผู้ป่วยพิเศษเพิ่มขึ้น สองแห่ง [cite: 43]เป็นการพัฒนาอาคารและบริการของโรงพยาบาล [cite: 43]
48.ห้องผ่าตัดทันสมัยและห้องปฏิบัติการ สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1920 [cite: 43]แสดงถึงการพัฒนาด้านเทคโนโลยีทางการแพทย์ [cite: 43]
49.โรงครัวที่ทำด้วยอิฐ สร้างเพิ่มขึ้นในปี ค.ศ. 1920 [cite: 43]เป็นการปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐาน [cite: 43]
50.หน่วยประปาของโรงพยาบาล สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1922 [cite: 43]ทำให้โรงพยาบาลกับบ้านอีกสามแห่งมีน้ำใช้อย่างบริบูรณ์ [cite: 43]
51.มีการสร้างห้องน้ำทันสมัย พร้อมน้ำร้อนน้ำเย็นในปี ค.ศ. 1923 [cite: 43]รวมถึงห้องซักรีด ห้องสุขา และถังกำจัดน้ำเสีย [cite: 43]
52.โรงพยาบาลมีไฟฟ้าใช้ ในปี ค.ศ. 1928 [cite: 43]แสดงให้เห็นถึงการก้าวเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ [cite: 43]
53.เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลมีการฝึกสอน ทั้งด้านการบรรยายและงานคลินิกเป็นประจำ [cite: 43]ทำให้เจ้าหน้าที่สามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในช่วงที่หมอเวรไม่อยู่ [cite: 43]

4️⃣ งานด้านโรงเรียนและการศึกษา (Education & Schools)

4.1 โรงเรียนชาย (School for Boys)

ลำดับประเด็นสำคัญตัวอย่าง/คำอธิบายเพิ่มเติม
54.งานโรงเรียนก้าวตามงานเผยแพร่ศาสนา แต่มิใช่ก้าวนำไป [cite: 44]แสดงว่าการศึกษามีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนการเผยแพร่ศาสนา [cite: 44]
55.ดร.พีเพิลส์ ทุ่มเทเวลาให้กับโรงเรียนชาย โดยเฉพาะงานทางด้าน การช่าง [cite: 44]เป็นการวางรากฐานด้านอาชีวศึกษาให้แก่เยาวชน [cite: 44]
56.คุณเทเลอร์กับภรรยา ได้รับแต่งตั้งให้ดูแลโรงเรียนชายอย่างถาวรในวันที่ 4 พฤศจิกายน ค.ศ. 1891 [cite: 47]ทั้งสองดำเนินงานต่อไปถึง 17 ปี [cite: 47]
57.โรงเรียนชายเริ่มต้น จากโรงเรียนที่ทำจาก ไม้ไผ่ [cite: 47]มีนักเรียนชายเพียงไม่กี่คนในช่วงแรก [cite: 47]
58.โรงเรียนชายย้ายไปใช้สถานที่ใหม่ คือ โรงเรียนเคนเนธ แมคเคนซี เมมโมเรียล [cite: 47]สถานที่ที่มีเนื้อที่พอเพียงสำหรับโรงเรียนในขณะนั้น [cite: 47]
59.ดร.วินเซนต์ กับภรรยา ให้ความสำคัญกับการฝึกสอนงานทางด้าน การช่าง มากยิ่งขึ้น [cite: 47]เน้นความสง่างามและความภาคภูมิใจในการทำงานด้วยมือ [cite: 47]
60.หน่วยงานด้านการช่าง ที่ ดร.วินเซนต์ ก่อตั้งขึ้น เป็นที่ ยอมรับและชื่นชมของชาวสยามทั่วไป [cite: 47]แสดงถึงคุณภาพและชื่อเสียงของการศึกษาด้านเทคนิค [cite: 47]
61.อาจารย์ใหญ่คนต่อไป คือ คุณอาร์เธอร์ แมคมูลิน [cite: 47]แม้ไม่มีประสบการณ์ด้านการศึกษา แต่ก็พิสูจน์ถึงความตั้งใจจริง [cite: 47]
62.คุณแมคมูลินช่วยเสริมงานทางด้านดนตรี ให้ก้าวหน้าอย่างเห็นได้ชัด [cite: 47]ทั้งที่โรงเรียนและงานของคริสตจักร [cite: 47]
63.คุณแอชเชอร์ บี. เคส กับภรรยา เข้ามาดูแลโรงเรียนในปี ค.ศ. 1925 [cite: 47, 48]ช่วยนำโรงเรียนให้ก้าวหน้าจนมีจำนวนนักเรียนเข้าเรียน สูงสุดเป็นประวัติการณ์ [cite: 48]

4.2 โรงเรียนหญิง (School for Girls)

ลำดับประเด็นสำคัญตัวอย่าง/คำอธิบายเพิ่มเติม
64.มิสฟลีสัน เป็นผู้รวบรวมเด็กผู้หญิงไม่กี่คนเพื่อเริ่มโรงเรียนหญิง [cite: 49]โรงเรียนมีนักเรียนสิบคนในเวลาไม่นานนัก [cite: 49]
65.มิสฟลีสัน ทำงานทางด้าน การเผยแพร่ศาสนาอย่างแข็งขัน [cite: 49]ท่านเดินทางไกลไปกับ ดร.วิลสันหลายครั้งหลายครา [cite: 49]
66.ห้องรับแขกของมิสฟลีสัน เป็นสถานที่ประชุมของมิชชัน [cite: 49]บันทึกของศูนย์กล่าวถึง “มิชชันประชุมกันที่ห้องรับแขกของมิสฟลีสัน” อยู่บ่อยครั้ง [cite: 49]
67.มิสฟลีสัน มีคุณสมบัติทาง สังคมที่หายากยิ่ง [cite: 49]มีการพบปะเพื่อดื่มน้ำชาหลังการประชุมเพื่อหล่อเลี้ยงความชุ่มชื่นให้กับงานประจำวัน [cite: 49]
68.โรงเรียนหญิงช่วงแรก มีนักเรียนส่วนใหญ่มาจาก ชุมชนคริสเตียนเท่านั้น [cite: 56]แสดงว่ายังไม่ได้เป็นที่นิยมในวงกว้างของคนทั่วไป [cite: 56]
69.โรงเรียนหญิงช่วงแรก ดูเหมือนเป็นการเรียนที่ เคลื่อนย้ายอยู่เสมอ [cite: 56]ไม่มีสถานที่แน่นอนในช่วงต้น [cite: 56]
70.การจัดหาที่ดินเพื่อสร้างโรงเรียนหญิง เป็นงานที่ไม่ง่ายเลย [cite: 56]ดร.วิลสันเสนอให้มิชชันดำเนินการในปี ค.ศ. 1922 [cite: 56]
71.ความยากลำบากในการซื้อที่ดิน ต้องติดต่อหลายฝ่าย [cite: 56]ต้องให้มิสฟลีสันติดต่อสุภาพสตรีสูงอายุเจ้าของที่ดิน ไปเข้าเฝ้าเจ้าผู้ครองนคร และไปพบท่านข้าหลวง [cite: 56]
72.ที่ดินสามารถซื้อได้สำเร็จ ในที่สุดโดย ดร.บริกส์ [cite: 59]ดร.บริกส์มีความสามารถจูงใจผู้คนให้คล้อยตามได้เสมอ [cite: 59]
73.อาคารโรงเรียนหญิงปัจจุบัน สร้างเสร็จสมบูรณ์ก่อน มิสฟลีสันถึงแก่กรรมเพียงเล็กน้อย [cite: 60]สร้างขึ้นจากวัสดุและเงินทุนส่วนใหญ่ที่มิสฟลีสันรวบรวมได้ในลำปาง [cite: 60]
74.โรงเรียนหญิง ที่มิสฟลีสันทิ้งไว้เป็นอนุสรณ์ของ แรงศรัทธาและประสิทธิภาพ ของท่าน [cite: 60]นักเรียนหญิงที่ท่านสอนกลายเป็นมารดาของสตรีรุ่นใหม่ที่มีความสามารถ [cite: 60]
75.อาจารย์ใหญ่สองท่านต่อจากมิสฟลีสัน คือ มิสอลิซาเบธ คาโรเธอส์ และ มิสเฮเซิล อี. บรันเนอร์ [cite: 61, 62]ภายใต้การนำของท่านทั้งสอง โรงเรียนก็เติบโตและเจริญรุ่งเรืองขึ้นพร้อมกับชื่อเสียง [cite: 62]
76.งานด้านการช่าง โดยเฉพาะงาน เย็บและงานทอ เป็นงานหลัก [cite: 62]แสดงถึงการให้ความรู้และทักษะที่จำเป็นต่อการครองชีพ [cite: 62]
77.มิสคาโรเธอส์ ได้วางแผนส่งนักเรียนหญิงไปเรียนต่อให้สูงขึ้น [cite: 62]เป็นการเปิดโอกาสทางการศึกษาในระดับที่สูงขึ้น [cite: 62]
78.ครูกลุ่มปัจจุบัน เป็นผลมาจากความพยายามของมิสซิสฮันนา (อดีตมิสบรันเนอร์) ที่ดำเนินงานต่อมา [cite: 62, 63]เป็นการพัฒนาบุคลากรครูจากคนท้องถิ่น [cite: 63]
79.มิสลูซี่ สตาร์ลิงค์ เข้ามาดำรงตำแหน่งอาจารย์ใหญ่ในเวลาต่อมา [cite: 68]โรงเรียนหญิงกลายเป็นโรงเรียนที่ใหญ่ที่สุดและพัฒนาที่สุดในบรรดาโรงเรียนของศูนย์พันธกิจนอกเขตบางกอก [cite: 68]
80.มาตรฐานและคุณภาพของห้องเรียน พัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง [cite: 68]โรงเรียนมีนักเรียนประจำและนักเรียนไปกลับมากกว่าที่อาคารเรียนจะรองรับได้ [cite: 68]
81.อาคารใหญ่สำหรับนักเรียนประถม ก่อตั้งขึ้นจากเงินทุนที่มิสสตาร์ลิงค์รวบรวมเอง [cite: 68]เป็นเงินที่มิตรสหายบริจาคให้ด้วยความชื่นชม [cite: 68]

5️⃣ ความทรงจำและการอุทิศตน (Dedication & Legacy)

ลำดับประเด็นสำคัญตัวอย่าง/คำอธิบายเพิ่มเติม
82.หลายคนทำงานช่วงสั้นๆ แต่ทิ้งความประทับใจไว้ [cite: 70]เช่น มิสซิส ดับบลิว. เอ. บริกส์ และ มิสซิส ซี. เอ. แมคเคย์ [cite: 70, 71]
83.ดร.วิลสัน เป็นที่รักของทุกคนที่รู้จักท่าน [cite: 71]ท่านเป็นสัญลักษณ์ของความเสียสละที่ไม่สั่นคลอน [cite: 71]
84.ดร.วิลสันสละเวลาถึง 53 ปี ของชีวิตให้กับงานที่ลำปาง [cite: 71]เป็นการทำงานที่ยาวนานที่สุดเพื่อเผยแพร่พระเกียรติคุณของพระเยซูคริสต์เจ้า [cite: 71]
85.ภาพถ่ายการประชุมของมิชชันที่ลำปาง ในปี ค.ศ. 1917 [cite: 52]มีผู้บริหารและผู้ร่วมงานสำคัญปรากฏอยู่ในภาพ [cite: 53, 54, 55]
86.เจ้าผู้ครองนครลำปาง และ เจ้าหญิงของลำปาง เข้าร่วมการประชุม [cite: 53, 54]แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างมิชชันกับชนชั้นสูงท้องถิ่น [cite: 53, 54]

6️⃣ ข้อมูลเพิ่มเติม

ลำดับประเด็นสำคัญตัวอย่าง/คำอธิบายเพิ่มเติม
87.คำศัพท์: D.D. (Doctor of Divinity) และ M.D. (Doctor of Medicine) [cite: 4, 5, 40]เป็นตำแหน่งทางวิชาการและวิชาชีพที่แสดงถึงความรู้ความสามารถของคณะหมอสอนศาสนา [cite: 4, 5, 40]
88.การเดินทางในอดีต ใช้เรือลาว [cite: 65]การเดินทางไปสยามตอนเหนืออาจใช้เวลาถึง หกสัปดาห์หรือสองเดือน [cite: 65, 66]
89.แหล่งที่มาของเรื่องราว ส่วนใหญ่มาจากบันทึกเก่าๆ ของศูนย์พันธกิจ [cite: 11, 12, 21, 29]บันทึกเหล่านี้บางครั้งก็ขาดรายละเอียดเรื่องการเดินทางมาของผู้ร่วมงานใหม่ๆ [cite: 12]

ch10

🏰 ส่วนที่ 1: การก่อตั้งและสถานที่ตั้ง (ค.ศ. 1889)

  1. ศูนย์พันธกิจนี้มีชื่อว่า ศูนย์พันธกิจราชบุรี [cite: 2]
  2. ก่อตั้งขึ้นเมื่อ คริสต์ศักราช 1889 [cite: 2]
  3. ชื่อ ราชบุรี มีความหมายว่า เมืองของพระราชา (แต่เรียกสั้นๆ ว่า ราชบุรี) [cite: 3]
  4. เมืองราชบุรีตั้งอยู่บน ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำแม่กลอง [cite: 3]
  5. ราชบุรีเป็นเมืองที่ กำลังเจริญเติบโต [cite: 3]
  6. เป็นเมือง เอก (เมืองหลัก) และมี ประชากรหนาแน่น ของมณฑลขนาดใหญ่ [cite: 3]
  7. มณฑลใหญ่นี้ ครอบคลุมถึงเพชรบุรี และเมืองใหญ่อื่นๆ [cite: 3]

⛵ ส่วนที่ 2: การเริ่มต้นและอุปสรรคในการเดินทาง

  1. งานด้านศาสนาของศูนย์ฯ เริ่มต้นจากเพชรบุรีเป็นหลัก [cite: 4]
  2. การเดินทางระหว่างราชบุรีกับเพชรบุรีในตอนนั้น ยากลำบากมาก [cite: 4]
  3. การเดินทางใช้เวลาถึง 24 ชั่วโมงหรือมากกว่านั้น [cite: 4]
  4. ต้องเดินทางโดย ทางเรือ [cite: 4]
  5. เส้นทางเรือต้องผ่าน แม่น้ำสองแห่ง และ อ่าวไทย [cite: 4]
  6. ตัวอย่าง : ลองนึกภาพว่าคุณต้องนั่งเรือนานกว่าหนึ่งวันเต็มๆ เพื่อไปประชุมที่จังหวัดใกล้ๆ! นั่นคือความท้าทายในสมัยนั้น [cite: 4]
  7. ต่อมามีการสร้าง ทางรถไฟ [cite: 15]
  8. การสร้างทางรถไฟทำให้เวลาเดินทางระหว่างเพชรบุรีกับราชบุรี ลดลงอย่างมาก [cite: 16, 17]
  9. ระยะเวลาเดินทางร่นลงไป ไม่ถึงสองชั่วโมง เท่านั้น! (เร็วขึ้นกว่า 12 เท่า!) [cite: 17]

🏥 ส่วนที่ 3: บุคลากรและกิจกรรมในช่วงแรก

  1. รัฐบาลสยาม อนุมัติ ให้ศาสนาจารย์ อี.พี. ตันแลป ใช้บ้านหลังหนึ่งได้ [cite: 4]
  2. บ้านที่ได้รับอนุมัติให้ใช้เป็น บ้านอิฐสองชั้น [cite: 4]
  3. การใช้บ้านหลังนี้ ไม่เสียค่าเช่า [cite: 4]
  4. คริสตจักรต้องรับผิดชอบเพียง ค่าซ่อมแซมและค่าปรับปรุง เท่านั้น [cite: 4]
  5. หมอสอนศาสนาที่มาอยู่ประจำคนแรก คือ เจมส์ ทอมป์สัน, เอ็ม.ดี. [cite: 4]
  6. หมอเจมส์ ทอมป์สันมาพร้อมกับ ภรรยา [cite: 5]
  7. พวกเขาทำงานระหว่างปี ค.ศ. 1889 ถึง ค.ศ. 1893 [cite: 5]
  8. ทั้งสองท่านเป็น ผู้ปฏิบัติงานเพียงสองคนเท่านั้น ในช่วงแรก [cite: 5]
  9. พวกเขาเป็น ผู้ริเริ่มงานทุกๆ ด้าน [cite: 5]
  10. งานที่ริเริ่ม ได้แก่ งานทางการแพทย์ [cite: 5]
  11. งานที่ริเริ่ม ได้แก่ โรงเรียน [cite: 5]
  12. งานที่ริเริ่ม ได้แก่ งานเผยแพร่ศาสนา [cite: 5]
  13. ตัวอย่าง : หมอทอมป์สันและภรรยาเปรียบเหมือน ‘หน่วยปฏิบัติการพิเศษ’ ที่ต้องทำทุกอย่าง ตั้งแต่รักษาคนป่วย สอนหนังสือ และเผยแพร่ศาสนาด้วยตัวเองทั้งหมด [cite: 5]
  14. ผู้ที่เข้ามาทำหน้าที่ หว่านพืชในช่วงแรกๆ มีหลายท่าน [cite: 6]
  15. หนึ่งในนั้นคือ ศาสนาจารย์ เอ.ดับบลิว. คูเปอร์ (และภรรยา) ซึ่งมาทำหน้าที่หลายช่วงปี [cite: 7]
  16. ดร.อี. วอชเตอร์ (และภรรยา) ทำงานในช่วงปี ค.ศ. 1894-ค.ศ. 1908 [cite: 7]
  17. ศาสนาจารย์ อี. วอชเตอร์, เอ็ม.ดี. (พร้อมภรรยา) มีภาพประกอบอยู่ในเอกสาร [cite: 13]
  18. ศาสนาจารย์ ซี.อี. เอ็คเคิลส์ (พร้อมภรรยา) ก็เป็นหนึ่งในผู้ปฏิบัติงาน [cite: 8]
  19. มิสคูเปอร์ ทำงานอยู่หนึ่งปี ในช่วง ค.ศ. 1890-1891 [cite: 9]
  20. ผู้ที่ทำงาน น้อยกว่าหนึ่งปีโดยเฉลี่ย ก็มี เช่น ดร.กาย แฮมิลตัน ในปี ค.ศ. 1901 [cite: 9, 10]

🏡 ส่วนที่ 4: การปรับเปลี่ยนสถานที่

  1. สองสามปีต่อมา รัฐบาล ต้องการที่ดินผืนแรกนั้นคืน เพื่อกิจการอื่น [cite: 5]
  2. รัฐบาล ยอมให้คริสตจักรเปลี่ยนไปใช้อาคารที่ใหญ่ขึ้น [cite: 5]
  3. อาคารใหม่ตั้งอยู่ บริเวณที่เป็นศูนย์กลางของเมือง [cite: 5]
  4. การใช้ที่ดินและอาคารแห่งใหม่นี้ก็ ไม่เสียค่าเช่า เช่นกัน [cite: 5]
  5. อาคารแห่งใหม่ถูก ตกแต่งขึ้นมาใหม่ ให้เป็น บ้านแฝด เพื่อใช้เป็นที่พักอาศัยของ สองครอบครัว [cite: 5]
  6. อาคารอื่นๆ ในพื้นที่ถูกใช้เป็น โรงเรียน [cite: 5]
  7. มีการเพิ่มเติมอาคารขนาดเล็กสำหรับใช้เป็น ห้องพยาบาล อีกหนึ่งหลัง [cite: 5]
  8. ที่ดินผืนที่สอง ที่ยืมใช้นั้น รัฐบาลสยามได้ขอคืนในเวลาต่อมา [cite: 22]
  9. รัฐบาลให้เหตุผลในการขอคืนว่า จะนำไปสร้าง ตลาดแห่งใหม่ที่งดงาม เมื่อรวมกับที่ดินผืนติดกัน [cite: 22]
  10. รัฐบาล แจ้งมิชชันล่วงหน้าถึงหนึ่งปี และ ขยายออกไปอีกสามปี [cite: 22]
  11. รัฐบาลสยามให้สิทธิมิชชันในการ ขนย้ายสิ่งต่างๆ ที่สร้างเสริมขึ้น (โดยมิชชันรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง) [cite: 22]
  12. รัฐบาลยังให้ ความช่วยเหลือมิชชันในการซื้อที่ดินเปล่า เพื่อใช้กับงานในอนาคต [cite: 22]
  13. มีการสร้าง อาคารขนาดเล็กสี่หลัง ขึ้นบนที่ดินผืนใหม่ [cite: 22]
  14. อาคารหลังหนึ่งบนที่ดินใหม่ใช้เป็น ที่พักชั่วคราวของหมอสอนศาสนา [cite: 22]
  15. อาคารอื่นๆ ใช้เป็น สถานที่นมัสการพระเจ้า [cite: 22]
  16. อาคารอื่นๆ ใช้เป็น โรงเรียน [cite: 22]
  17. อาคารอื่นๆ ใช้เป็น งานทางการแพทย์ [cite: 22]
  18. สถานที่เก่าเดิมจึง ว่างลงในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1913 [cite: 22]

🧑‍🎓 ส่วนที่ 5: ผลงานด้านการศึกษาและการแพทย์

  1. งานด้านการแพทย์ถูกทำมาโดยตลอดแต่ ไม่ได้ใหญ่โตนัก [cite: 14]
  2. เหตุที่งานแพทย์ไม่ใหญ่โต เพราะศูนย์ฯ เน้นการเดินทางเผยแพร่ศาสนาอยู่หลายปี [cite: 14]
  3. เวลาที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดจึงให้กับ งานภายในท้องถิ่น [cite: 14]
  4. โรงเรียนสอนศาสนา และ การนมัสการพระเจ้าในวันอาทิตย์ ยังคงมีอยู่ตามปกติ [cite: 14]
  5. ผู้ที่เปลี่ยนศาสนา ไม่ได้รวมกันอย่างจริงจังเพื่อก่อตั้งคริสตจักรขึ้น [cite: 14]
  6. งานที่ได้ผลมากที่สุดของศูนย์ฯ คือ งานด้านการศึกษา [cite: 14]
  7. มีนักเรียน ชายและหญิงจำนวนหนึ่ง [cite: 14]
  8. นักเรียนเหล่านี้เริ่มต้นศึกษาจาก โรงเรียนไปกลับที่ราชบุรี [cite: 14]
  9. พวกเขาไปศึกษาต่อที่ กรุงเทพฯ (บางกอก) [cite: 14]
  10. นักเรียนเหล่านี้เติบโตไปเป็น คริสเตียนที่มีผู้คนรู้จัก [cite: 14]
  11. ตัวอย่าง : โรงเรียนที่นี่เปรียบเหมือน ‘สถานีทดลอง’ ที่บ่มเพาะเมล็ดพันธุ์ความรู้และความเชื่อ ก่อนที่เด็กๆ จะไปเติบโตและเป็นที่ยอมรับในเมืองหลวง [cite: 14]
  12. หมอสอนศาสนาด้านการแพทย์มีความจำเป็นต้อง ไปปฏิบัติงานในเขตอื่น [cite: 18]
  13. หมอชาวสยาม ชื่อ หมอเทียนกู่ จึงเข้ามารับหน้าที่ดูแลงานด้านการแพทย์ [cite: 18]
  14. หมอเทียนกู่เริ่มดูแลงานตั้งแต่ ต้นปี 1909 เป็นต้นไป [cite: 18]
  15. หมอเทียนกู่ ยังมิใช่หมอที่มีใบรับรองอย่างสมบูรณ์ (เหมือนยังไม่ใช่แพทย์เฉพาะทางเต็มตัว) [cite: 18]
  16. แต่ท่านก็ทำหน้าที่นี้เป็นอย่างดี [cite: 18]
  17. ในปี ค.ศ. 1912 มีข้อตกลงใหม่ที่ให้หมอเทียนกู่ปฏิบัติงาน โดยไม่มีเงินเดือนจากมิชชัน [cite: 18]
  18. แต่ท่านสามารถใช้ โรงพยาบาล และ ห้องพยาบาลของมิชชัน ได้ โดยไม่มีค่าเช่า [cite: 21]
  19. และยังมีสิทธิ ซื้อยาได้ตามความต้องการ [cite: 21]
  20. นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา มิชชันจึงไม่ต้องรับผิดชอบหรือมีส่วนในการสนับสนุนทางการเงินในด้านการแพทย์ [cite: 21]

🔄 ส่วนที่ 6: การรวมศูนย์และการถ่ายโอนงาน

  1. คณะกรรมการมิชชันเพรสไบทีเรียนโพ้นทะเล มีคำสั่ง [cite: 16]
  2. คำสั่งคือให้ รวมราชบุรีกับเพชรบุรีให้เป็นศูนย์เดียวกัน [cite: 17]
  3. การรวมศูนย์กำหนดให้เริ่มดำเนินงานตั้งแต่ ต้นปี 1909 [cite: 17]
  4. แม้มีการรวมศูนย์แล้ว คุณคูเปอร์กับภรรยาก็ยังคงอยู่ที่ราชบุรีต่อไปอีกสี่ปี [cite: 17]
  5. หลังการย้ายสถานที่เก่าเดิม (มี.ค. ค.ศ. 1913) ครอบครัวคูเปอร์ยังอยู่ที่ราชบุรีอีก หนึ่งเดือน [cite: 22]
  6. การอยู่ต่อหนึ่งเดือนเพื่อ ผ่อนถ่ายงานให้กับคนท้องถิ่น [cite: 22]
  7. คนท้องถิ่นจะดำเนินงานต่อไปโดย รับคำสั่งและรับความร่วมมือจากศูนย์เพชรบุรี [cite: 22]
  8. ในเดือนเมษายน (ค.ศ. 1913) มิสซิสคูเปอร์ เดินทางกลับบ้านเกิดเพื่อลาพัก [cite: 22]
  9. คุณคูเปอร์ ต้องเดินทางไป พิษณุโลก เพื่อทำงานเร่งด่วนที่ว่างลง [cite: 22]
  10. ทางมิชชัน ไม่มีทุนสร้างบ้านที่เหมาะสม ให้กับครอบครัวหมอสอนศาสนาที่จะมาประจำที่ศูนย์แห่งใหม่ในราชบุรี [cite: 22]
  11. ทำให้ ยังไม่มีครอบครัวใดๆ ไปอยู่ที่นั่น [cite: 22]
  12. นับตั้งแต่มีการรวมศูนย์ที่เพชรบุรี ราชบุรียังคงเป็นอีกศูนย์หนึ่งที่ขึ้นตรงกับเพชรบุรี [cite: 24]
  13. ศูนย์ราชบุรี ไม่มีหมอสอนศาสนาอยู่ประจำ [cite: 24]
  14. แม้แต่ในช่วงนั้น หมอสอนศาสนาที่เพชรบุรีก็ยังมี จำนวนน้อยกว่าที่ควรเป็น สำหรับงานที่มีอยู่ [cite: 24]
  15. สถานการณ์คล้ายกันนี้เกิดขึ้นใน อยุธยาและลำพูน ที่มีการ ถอนตัวหมอสอนศาสนาที่ประจำอยู่ออกไป [cite: 24]
  16. การถอนตัวนี้ทำให้ ศูนย์พันธกิจอื่นๆ ตกอยู่ในสภาพง่อนแง่น [cite: 24]
  17. ตัวอย่าง : การรวมศูนย์เปรียบเสมือนการ ‘ปิดสาขา’ แล้วเปลี่ยนเป็น ‘จุดประสานงาน’ ที่ต้องรายงานตรงไปยังสำนักงานใหญ่ (เพชรบุรี) [cite: 24]

📝 ส่วนที่ 7: ข้อจำกัดของบันทึก

  1. บันทึกเกี่ยวกับเรื่องราวทั้งหมดมีอยู่ น้อยและไม่ปะติดปะต่อกัน [cite: 25]
  2. ดังนั้น จึงไม่สามารถให้เรื่องราวที่ครบบริบูรณ์ เกี่ยวกับการทำงานของผู้ปฏิบัติงานได้ [cite: 25]
  3. ผู้ที่เราควรจะได้รายละเอียดอย่างแท้จริง ก็มิได้อยู่กับเราแล้ว [cite: 25]
  4. บันทึกทั้งหมด ที่เกี่ยวกับงานที่ทำไปแล้ว จะไปปรากฏอยู่อีกโลกหนึ่ง [cite: 25]
  5. ตัวอย่าง : เหมือนกับการพยายามต่อจิ๊กซอว์ที่มีชิ้นส่วนหายไปเยอะมาก ทำให้เราเห็นภาพรวมได้ แต่ก็ไม่สามารถทราบรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ทั้งหมดของความทุ่มเทในตอนนั้นได้ [cite: 25]

💡 ส่วนที่ 8: ข้อมูลอื่นๆ

  1. ข้อมูลนี้อยู่ใน บทที่ 10 ของหนังสือ [cite: 1]
  2. หัวข้อเรื่องคือ ศูนย์พันธกิจราชบุรี [cite: 20]
  3. หน้าที่สรุปนี้คือหน้า 170 ถึง 171 [cite: 12, 20]
  4. ข้อมูลอยู่ในส่วนของหนังสือที่ชื่อว่า หนึ่งศตวรรษในสยาม ค.ศ. 1828-ค.ศ. 1924 [cite: 12]


Previous Post
theology
Next Post
SoftwarteEngineerAtGoogle