prompt
ช่วยสรุปประเด็นสำคัญต่างๆ เป็นข้อๆ ให้หน่อย ขอสัก 50-100 ข้อ (เขียนตัวเลขกำกับแต่ละข้อด้วย) ขอแบบอ่านง่ายๆ ให้คนที่ไม่ได้มีความรู้เรื่องพวกนี้มาก่อนสามารถเข้าใจได้ ช่วยยกตัวอย่างสำหรับบางประเด็นที่เป็นนามธรรม เพื่อให้คนอ่านสามารถเห็นภาพได้ชัดเจนมากขึ้นด้วย ขอแบบอ่านสนุกๆ และช่วยแบ่งเป็น section ให้ด้วย
https://www.ilovepdf.com/split_pdf
สารบัญ
- ch1 58-66
- ch2 68-85
- [] ch3 85-94
- [] ch4 96-113
- ch5 118-142
- ch6 144-167
- ch7 168-193
- ch8 194-212
- ch9 214-223
- ch10 224-226
CH1
🧭 Section 1: จุดเริ่มต้นในพม่า และคณะสำรวจสุดแกร่ง (ค.ศ. 1818 - 1828)
นี่คือกลุ่มคนแรก ๆ ที่ปูพรมให้ศาสนาโปรเตสแตนต์ในดินแดนสยาม
- จุดเริ่มต้นที่ไม่ได้มาจากสยาม: เรื่องราวไม่ได้เริ่มในกรุงเทพฯ แต่เริ่มที่…กรุงย่างกุ้ง ประเทศพม่า!
- สุภาพสตรีผู้จุดประกาย: เธอคือ มิสซิส แอน เฮเซิลทีน จัดสัน ภรรยาของหมอสอนศาสนาชื่อดัง (อดอ นิราม จัดสัน)
- เห็นเชลยสงคราม: ท่านสนใจเชลยชาวสยามจำนวนมากที่ถูกคุมขังอยู่ที่นั่น
- ลองเรียนภาษาไทย: ท่านเรียนภาษาสยาม (ภาษาไทย) ไปแล้วประมาณปีครึ่งในช่วงปี ค.ศ. 1818
- งานแปลชิ้นประวัติศาสตร์: ท่านแปลคำสอนศาสนาและส่วนของพระคัมภีร์มัทธิวเป็นภาษาสยาม (แม้จะยังไม่มีหลักฐานว่าพระคัมภีร์มัทธิวได้รับการตีพิมพ์)
- ตีพิมพ์ที่อินเดีย: คำสอนที่ท่านแปลได้ถูกตีพิมพ์ที่อินเดียในปี ค.ศ. 1819 ถือเป็นงานพิมพ์สอนศาสนาฉบับแรก ๆ ของไทย
- ความพยายามก่อนหน้า: เคยมีศาสนาจารย์ เม็ดเฮิสต์ คิดจะมาสยามในปี ค.ศ. 1826 แต่ไม่ทัน
- คณะบุกเบิกมาถึง: สองผู้กล้ามาถึง! คือ ศาสนาจารย์ คาร์ล ออ กัสตัส ฟริตริค กุตสลาฟ (หมอชาวเยอรมัน) และ ศาสนาจารย์ เจคอบ ทอมลิน (ชาวอังกฤษ)
- วันที่มาถึง: วันที่ 23 สิงหาคม ค.ศ. 1828 คือวันที่พวกเขามาถึงกรุงเทพฯ ด้วยเรือจีนเก่า ๆ
- การต้อนรับระดับ VIP: พวกเขาได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจาก ฯพณฯ ท่าน คาร์โลส ซิลเวรา กงสุลโปรตุเกส (คนนี้เป็นกุญแจสำคัญ!)
- มิตรภาพข้ามศาสนา: แม้กงสุลจะนับถือโรมันคาทอลิก แต่ท่านก็ช่วยสนับสนุนโปรเตสแตนต์อย่างเต็มที่
- ได้รับอนุญาตแบบมีเงื่อนไข: รัฐบาลสยามอนุญาตให้พวกเขาอยู่และเผยแพร่ศาสนาได้…แต่จำกัดให้อยู่ในกลุ่ม คนจีน ก่อน
- ตลาดหนังสือคึกคัก: ที่พักของพวกเขาเต็มไปด้วยผู้คนที่มาขอ หนังสือ และ ยา อยู่ตลอดเวลา
- มาไกลเพื่อขอหนังสือ: บางคนเดินทางมา 3-4 วันจากต่างจังหวัดเพื่อมาหาพวกเขา!
- หนังสือหมดสต็อก: ภายในสองเดือน พระคัมภีร์ที่นำมาด้วยก็หมดเกลี้ยง! (เป็นสัญญาณที่ดีว่าคนสนใจมาก)
⚔️ Section 2: ข้อจำกัด ความขัดแย้ง และการต่อสู้ (ค.ศ. 1828 - 1831)
เมื่อได้รับความนิยมมากเกินไป ก็เริ่มมีปัญหาตามมา
- โรมันคาทอลิกอยู่ก่อนแล้ว: ก่อนหน้านั้น คริสตจักรโรมันคาทอลิกตั้งอยู่ในสยามมานานกว่า 100 ปี มีโบสถ์ 4 แห่งในกรุงเทพฯ และอีกหลายแห่ง
- คนสยามเปลี่ยนศาสนาน้อย: คนสยามที่เปลี่ยนมานับถือคริสต์ (คาทอลิก) ยังมีจำนวนน้อย อาจเป็นเพราะกลัวถูกลงโทษ
- สัญญาณอันตราย: ความสนใจในมิชชันนารีโปรเตสแตนต์ที่เพิ่มขึ้น ทำให้เกิดการลงโทษตามมา
- โดนสั่งให้ออกนอกประเทศ: กรมพระคลัง (เสนาบดีต่างประเทศ) สั่งให้พ่อค้าชาวอังกฤษพาพวกเขาออกไป!
- ใช้สิทธิ์ประท้วง: หมอสอนศาสนาไม่ยอมแพ้ อุทธรณ์โดยตรงและอ้างถึงสนธิสัญญา 2 ฉบับที่ทำกับอังกฤษ
- ชนะคดี: การประท้วงได้ผล ทำให้ได้รับอนุญาตให้อยู่ต่อได้
- แต่มีกฎเหล็ก: มีการสั่งห้าม แจกจ่ายหนังสือ (เหมือนถูกสั่งให้พูดได้อย่างเดียว แต่ห้ามแจกใบปลิว!)
- ออกกฎหมายห้าม: มีพระราชกฤษฎีกาห้ามคนสยามรับหนังสือเกี่ยวกับศาสนาคริสต์
- กงสุลซิลเวรายังคงเป็นโล่: ท่านกงสุลโปรตุเกสยังคงเป็นมิตรสำคัญที่ช่วยให้พวกเขาผ่านช่วงลำบากไปได้
- งานแปลคือทางรอด: เมื่อแจกหนังสือไม่ได้ พวกเขาจึงพุ่งเป้าไปที่ การแปล และ การเรียนภาษา
- เรียนภาษาเร็วปรื๋อ: ทั้งสองเรียนภาษาไทยเร็วมาก
- ทีมงานแปลต่างชาติ: พวกเขาทำงานแปลผ่านคนจีน (ชื่อคิง) และชาวพม่า (ชื่อฮอน) ที่พอรู้ภาษาไทย
- ผลงาน 6 เดือน: ภายในครึ่งปี พวกเขาแปลพระกิตติคุณ (Gospels) ทั้ง 4 เล่ม และพระธรรมโรมเป็นภาษาไทยสำเร็จ!
- เริ่มทำพจนานุกรม: พวกเขายังเริ่มทำ พจนานุกรมอังกฤษ-ไทย ไปได้จนถึงตัวอักษร “R”
- ทอมลินลาป่วย: ศาสนาจารย์ ทอมลิน ต้องเดินทางไปสิงคโปร์ใน ค.ศ. 1829 เพื่อพักฟื้นและจัดหายา/หนังสือ
- กุตสลาฟไปสมรส: กุตสลาฟตามไปสิงคโปร์เพื่อนำงานไปตีพิมพ์ และสมรสกับ มิส มาเรีย เนเวล
💔 Section 3: โศกนาฏกรรมแห่งการทุ่มเทของกุตสลาฟ (ค.ศ. 1830 - 1831)
กุตสลาฟและภรรยาใหม่กลับมาเพื่อทุ่มเทงานแปลอย่างหนักจนเกิดโศกนาฏกรรม
- กลับมาพร้อมภรรยา: กุตสลาฟกลับมาสยามพร้อมภรรยาในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1830
- นักแปลตัวยง: พวกเขาหักโหมงานแปลจนไม่เป็นอันกินอันนอน
- งานแปลระดับมาสเตอร์พีซ (ฉบับร่าง): ทั้งสองแปลพระคัมภีร์ เกือบทั้งหมด เป็นภาษาไทยสำเร็จ
- งานแปลข้ามชาติ: พวกเขายังแปลพระคัมภีร์ส่วนใหญ่เป็นภาษา ลาว และ เขมร ด้วย
- คู่มือภาษาก็มา: พวกเขายังทำพจนานุกรมและไวยากรณ์ภาษาไทยและเขมรเพิ่มเติม
- สภาพอากาศสังหาร: อากาศที่ไม่คุ้นเคยและงานหนักทำให้สุขภาพทรุดโทรม
- โศกนาฏกรรม: มิสซิส กุตสลาฟ เสียชีวิตในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1831 หลังคลอดลูกสาวฝาแฝดได้ไม่กี่ชั่วโมง (ลูกสาวคนหนึ่งก็เสียชีวิต)
- สุสานแรกสุด: ร่างของท่านถูกฝังที่บริเวณทางเหนือของสถานกงสุลโปรตุเกส (ได้รับอนุญาตพิเศษ)
- ที่ดินศักดิ์สิทธิ์: บริเวณนั้นจึงกลายเป็นสุสานแห่งแรกสำหรับหมอสอนศาสนาโปรเตสแตนต์ (ต่อมาถูกย้ายไปสุสานใหม่ใน ค.ศ. 1893)
- ความเศร้าโศก: กุตสลาฟเสียใจมาก และสุขภาพก็ย่ำแย่ลง
- ย้ายภารกิจไปจีน: ท่านจำใจต้องเดินทางออกจากสยามไปประเทศจีนในวันที่ 3 มิถุนายน ค.ศ. 1831
- เปลี่ยนสัญชาติเพื่อเข้าจีน: ท่านถึงขนาดต้องเปลี่ยนสัญชาติเป็นคนของจักรวรรดิอันศักดิ์สิทธิ์และมีชื่อจีนว่า ชื่อหลี่ เพื่อให้เข้าถึงคนจีนได้ง่ายขึ้น
- ไม่ได้กลับมาสยาม: หลังจากออกจากสยาม ท่านก็ไม่กลับมาอีกเลย
- ผู้เปลี่ยนศาสนาคนแรกที่ชัดเจน: ผู้ที่กุตสลาฟทำพิธีบัพติศมาให้ในสยามโดยตรงมีเพียงคนเดียว คือ บุ้งตี้ ชาวจีน
- มรดกงานแปล: งานแปลของกุตสลาฟแม้จะยังไม่สมบูรณ์ แต่เป็นรากฐานสำคัญให้คนรุ่นหลังทำต่อ
- แท่นพิมพ์ถูกส่งต่อ: ตัวพิมพ์ภาษาไทยรุ่นแรก ๆ ที่อยู่ที่สิงคโปร์ (ซึ่งกุตสลาฟเคยใช้) ถูกส่งต่อให้กับคณะมิชชันนารีอเมริกัน
🇺🇸 Section 4: กองหนุนจากอเมริกา และ 3 คณะพันธกิจหลัก (ค.ศ. 1831 - 1840)
เมื่อสยามส่งสัญญาณว่าน่าสนใจ คณะมิชชันนารีในอเมริกาก็เข้ามารับไม้ต่อ
- คำร้องขอความช่วยเหลือข้ามทวีป: กุตสลาฟและทอมลินได้ส่งคำร้องขอหมอสอนศาสนาไปยังคริสตจักรในอเมริกา
- ช่องทางพิเศษ: คำร้องนี้ไปถึงอเมริกาพร้อมกับ แฝดสยาม (อิน-จัน) ที่เดินทางไปแสดงตัวที่นั่นใน ค.ศ. 1829
- นักรบชุดขาวคนแรกของอเมริกา: ศาสนาจารย์ เดวิด อาบีล, เอ็ม.ดี. เดินทางมาถึงในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1831
- มาถึงช้าไป 12 วัน: อาบีลมาถึงสยามหลังจากกุตสลาฟเดินทางออกไปแค่ 12 วัน
- พบกับทอมลิน: อาบีลเข้าพักในบ้านของกงสุลโปรตุเกสที่เพิ่งว่างลง
- ความนิยมยังพุ่ง: อาบีลพบว่าผู้คนก็ยังต้องการหนังสือเหมือนเดิม
- พระภิกษุสนใจ: ท่านรายงานว่ามีพระภิกษุรูปหนึ่งคัดลอกพระคัมภีร์ใหม่ไปจำนวนมาก!
- เปิดโบสถ์เล็ก ๆ: ท่านจัดตั้งที่นมัสการในบ้าน โดยใช้ภาษาจีนประกอบพิธีทุกวันอาทิตย์
- บุ้งตี้กลับมาช่วย: บุ้งตี้ (คนจีนที่กุตสลาฟให้บัพติศมา) กลับมาจากจีนและกลายเป็นผู้ช่วยสำคัญของอาบีล
- รายงานเร่งด่วนถึงอเมริกา: อาบีลรายงานว่ากรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลางพันธกิจที่ “ควรรักษาไว้เป็นอย่างยิ่ง”
- ต้องมาให้เร็วที่สุด: ท่านขอให้ส่งหมอสอนศาสนามา 2-3 คนเป็นการเร่งด่วน (เหมือนส่งสัญญาณ SOS)
- ปัญหาไข้เรื้อรัง: น้ำท่วมและอากาศทำให้ท่านเป็นไข้เรื้อรัง (โรคยอดฮิตของชาวต่างชาติในยุคนั้น)
- ลาพักฟื้นครั้งแรก: อาบีลต้องเดินทางไปสิงคโปร์เพื่อพักฟื้นในต้นปี ค.ศ. 1832
- กลับมาลองสู้ใหม่: ท่านกลับมาถึงบางกอกในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1832
- ห้ามแจกหนังสือรอบสอง: มีพระราชกฤษฎีกาห้ามแจกจ่ายหนังสือออกมาอีก
- เทคนิคการแจกจ่าย: ท่านจึงใช้วิธีแจกจ่ายให้กับผู้คนบน เรือกว่า 50 ลำ ที่จะเดินทางไปจีน!
- การจากลาครั้งสุดท้าย: อาบีลไม่สามารถทนไข้เรื้อรังได้อีก จึงต้องเดินทางออกจากสยามไปอังกฤษ/อเมริกาใน ค.ศ. 1833
- มิชชันนารีแบ๊บติสท์มา: ศาสนาจารย์ จอห์น เทเลอร์ โจนส์, ดี.ดี. กับภรรยา ถูกย้ายมาจากพม่าเพื่อตอบรับคำวิงวอน
- รับช่วงต่อพจนานุกรม: ดร. โจนส์ได้รับพจนานุกรมอังกฤษ-ไทยที่กุตสลาฟเริ่มทำไว้
- ที่ดินถัดไป: โจนส์ได้รับการช่วยเหลือจากกงสุลซิลเวราให้เช่าที่ดินที่ติดกับสถานกงสุล (ที่ดินนี้ต่อมาขายต่อให้คณะแบ๊บติสท์)
- การก่อตั้งคณะเพรสไบทีเรียน: ใน ค.ศ. 1837 มีการก่อตั้งคณะกรรมการพันธกิจคริสตจักรเพรสไบทีเรียนโพ้นทะเล
- เพรสไบทีเรียนคนแรกมา: ศาสนาจารย์ วิลเลียม พี. บูเอล กับภรรยา เดินทางมาถึงสยามในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1840
- พันธกิจครบ 3 คณะ: การมาของบูเอลทำให้สมาคมมิชชันนารีอเมริกัน 3 สมาคมเข้ามาทำพันธกิจในสยาม
-
- A.B.C.F.M. (อาบีล)
-
- แบ๊บติสท์ (โจนส์)
-
- เพรสไบทีเรียน (บูเอล)
-
💡 Section 5: มรดกสำคัญที่ไม่ใช่แค่ศาสนา (The Legacies)
ผลกระทบของการมาถึงของพวกเขาไม่ได้จำกัดอยู่แค่เรื่องศาสนา แต่เป็นรากฐานด้านภาษาและการแพทย์
- การมาถึงของแท่นพิมพ์: ตัวพิมพ์ภาษาไทยรุ่นแรกถูกนำมาที่สิงคโปร์โดยศาสนาจารย์ โรเบิร์ต เบิร์น
- ตัวพิมพ์เปลี่ยนมือ: หลังจากคุณเบิร์นเสียชีวิต ตัวพิมพ์ก็ถูกขายต่อให้คณะ A.B.C.F.M.
- ดร.บรัดเลย์: ดร. แดน บีช บรัดเลย์ ได้รับแท่นพิมพ์กับตัวพิมพ์นี้
- การปฏิวัติการพิมพ์ไทย: ดร. บรัดเลย์ นำแท่นพิมพ์มาที่บางกอกใน ค.ศ. 1835 (นี่คือจุดกำเนิดของอุตสาหกรรมการพิมพ์และหนังสือพิมพ์ภาษาไทยสมัยใหม่!)
- รากฐานภาษาไทย: งานแปลพระคัมภีร์และพจนานุกรมที่กุตสลาฟเริ่มไว้ กลายเป็นฐานให้คนรุ่นหลังทำงานภาษาไทยต่อ
- ความยืดหยุ่นทางวัฒนธรรม: แม้จะมีข้อห้ามแจกหนังสือ แต่พวกเขาก็ยังคงสามารถดำเนินงานสอนศาสนาผ่านภาษาจีนและการสนทนา
- ความสำคัญของยา: การนำ ยา มาแจกจ่ายควบคู่กับหนังสือ ดึงดูดผู้คนให้เข้ามารับฟังคำสอน (เปรียบเหมือนการใช้การแพทย์เป็นประตูเปิดบ้าน)
- ความทุ่มเทสู่ความตาย: การที่มิสซิส กุตสลาฟ เสียชีวิตจากการหักโหมงานแปล แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่ไม่ธรรมดาของผู้บุกเบิกในยุคนั้น
- การทำงานร่วมกับชาวต่างชาติ: หมอสอนศาสนาต้องพึ่งพาคนกลาง (เช่น คิง, ฮอน) ในการทำงานแปลภาษา เพราะยังไม่มีคนสยามที่เชี่ยวชาญพอ
- กงสุลที่เป็นสะพาน: ท่านซิลเวรา กงสุลโปรตุเกส ได้ทำหน้าที่เป็น สะพานเชื่อม ระหว่างคณะมิชชันนารีกับรัฐบาลสยาม และยังช่วยจัดหาที่พัก/ที่ดินให้พวกเขาด้วย
💯 Bonus: สรุปฉบับกระชับ (The Big Picture)
- ผู้บุกเบิกทางความคิด (ปี 1818): มิสซิส แอน จัดสัน
- ผู้บุกเบิกภาคปฏิบัติ (ปี 1828): ศาสนาจารย์ กุตสลาฟ และ ทอมลิน
- ผู้บุกเบิกชาวอเมริกัน (ปี 1831): ศาสนาจารย์ เดวิด อาบีล
- ผู้บุกเบิกด้านการพิมพ์ (ปี 1835): ดร. แดน บีช บรัดเลย์
- ผู้บุกเบิกคณะแบ๊บติสท์ (ปี 1833): ศาสนาจารย์ จอห์น เทเลอร์ โจนส์
- ผู้บุกเบิกคณะเพรสไบทีเรียน (ปี 1840): ศาสนาจารย์ วิลเลียม พี. บูเอล
- ศูนย์กลางในยุคแรก: กรุงเทพฯ (บางกอก)
- กลุ่มเป้าหมายหลักในยุคแรก: ชุมชนคนจีน
- เครื่องมือหลัก (ก่อนโดนห้าม): พระคัมภีร์และยา
- งานมรดกที่สำคัญที่สุด: การแปลพระคัมภีร์และพจนานุกรม
- ผลกระทบต่อพื้นที่: การกำหนดเขตสุสานโปรเตสแตนต์
- ความยากลำบากหลัก: สุขภาพ (ไข้เรื้อรัง) และข้อจำกัดจากรัฐบาล
- แรงจูงใจในการมา: คำวิงวอนจากผู้บุกเบิกรุ่นแรก (กุตสลาฟ/ทอมลิน)
- จุดเด่นของกุตสลาฟ: ทักษะด้านภาษา (แปลได้หลายภาษา) และการทุ่มเทถึงขีดสุด
- การเป็นจุดสนใจ: มิชชันนารีเป็นที่สนใจมาก จนต้องมีการออกพระราชกฤษฎีกาห้ามถึง 2 ครั้ง
- มิตรภาพที่แข็งแกร่ง: ความช่วยเหลือจากกงสุลโปรตุเกสถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้พวกเขายืนหยัดอยู่ได้
- การสละชีวิต: มิสซิส กุตสลาฟ ถือเป็นการเสียสละชีวิตเพื่อพันธกิจครั้งสำคัญในช่วงแรก
- รากฐานที่มั่นคง: แม้ผู้ที่เปลี่ยนศาสนาโดยตรงจะมีน้อย แต่การเข้ามาของ 3 คณะหลักจากอเมริกาถือเป็นการวางรากฐานระยะยาว
- การเริ่มต้นของ “หมอสอนศาสนา”: พวกเขาไม่ได้มาแค่สอนศาสนา แต่มาพร้อมกับ การแพทย์ ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญในการเปิดใจผู้คน
- จากศูนย์สู่สาม: สยามกลายเป็นพื้นที่ที่มีคณะมิชชันนารีหลัก 3 คณะจากอเมริกาเข้ามาทำงานในเวลาเดียวกัน ถือเป็นจุดเริ่มต้นของศตวรรษแห่งการเผยแพร่ศาสนาโปรเตสแตนต์ในสยาม!
CH2
สรุป 100 ประเด็นสำคัญ: การบุกเบิกของคณะมิชชันนารีอเมริกันในสยาม (ค.ศ. 1831–1893)
🚀 ส่วนที่ 1: การมาถึงและการก่อตั้งภารกิจ (The Pioneering Journey)
นี่คือจุดเริ่มต้นของคณะเผยแพร่ศาสนาที่เดินทางมาไกลเพื่อนำความรู้และวิทยาการใหม่ ๆ มาสู่สยาม!
- จุดเริ่มต้นของภารกิจนี้ในสยามเกิดขึ้นตามคำร้องขออย่างจริงใจจาก ศาสนาจารย์คาร์ล กุตสลาฟ และ ศาสนาจารย์เจคอบ ทอมลิน [cite: 231, 226]
- คณะกรรมาธิการพันธกิจคริสตจักรโพ้นทะเลแห่งอเมริกา (ABCFM) เป็นหน่วยงานที่ตัดสินใจเลือกอาณาจักรสยามเป็นพื้นที่เผยแพร่ศาสนา [cite: 231]
- ศาสนาจารย์ เดวิด อาบีล, เอ็ม. ดี. (Dr. David Abeel) เดินทางถึงสิงคโปร์พอดีกับที่ ศาสนาจารย์ทอมลิน กำลังจะไปบางกอกเป็นครั้งที่สอง [cite: 234]
- กัปตันเรือยอมออกเดินทางล่าช้าถึงสามวัน เพื่ออำนวยความสะดวกให้ Dr. Abeel เดินทางไปพร้อมกับ Mr. Tomlin [cite: 234]
- ทั้งสองท่านเดินทางมาถึงสยามในวันที่ 30 มิถุนายน ค.ศ. 1831 [cite: 234]
- การมาถึงของพวกเขาเกิดขึ้นไม่นานหลังจากที่ Mr. Gutzlaff เพื่อนร่วมงานคนสำคัญ ได้เดินทางไปจีนเพราะหมดหวังจากปัญหาสุขภาพและการจากไปของภรรยา [cite: 234]
- Mr. Gutzlaff ใช้เวลาอยู่ในสยามเพียงสามปีเท่านั้น ก่อนจะเดินทางไปบุกเบิกงานในจีน [cite: 234]
- ตลอดสามปีที่ Mr. Gutzlaff อยู่ในสยาม ท่านทำพิธีบัพติศมา (พิธีรับเข้าเป็นคริสต์ศาสนิกชน) ให้กับผู้เปลี่ยนศาสนาได้เพียงคนเดียว คือ “บุ้งตี้” (Bung Tee) [cite: 234]
- ผู้มาใหม่พบว่า ชาวสยามและชาวจีนในพื้นที่ต่างกระตือรือร้นที่จะได้รับ หนังสือ และ ยารักษาโรค ที่พวกเขานำมาด้วย [cite: 237]
- ทั้งสองท่านทำงานอย่างมุ่งมั่นเพื่อชาวสยามและชาวจีน โดยไม่เลือกปฏิบัติว่าจะเป็นชนชั้นสูงหรือชนชั้นต่ำ [cite: 237]
- หกเดือนต่อมา Mr. Tomlin ก็ถูกเรียกตัวกลับไป [cite: 237]
- Dr. Abeel ต้องเดินทางจากสยามไปสิงคโปร์เพื่อฟื้นฟูสุขภาพ [cite: 237]
- เมื่อกลับมาสยาม Dr. Abeel ก็ทำงานหนักจนถึงวันที่ 5 พฤศจิกายน ค.ศ. 1832 ก่อนที่สุขภาพจะทรุดโทรมจนต้องทิ้งงานไปในที่สุด [cite: 237]
- หมอสอนศาสนารุ่นใหม่จากคณะ ABCFM คือ ศาสนาจารย์ ชาร์ลส์ โรบินสัน และ ศาสนาจารย์ สตีเฟน จอห์นสัน กับภรรยา [cite: 238]
- พวกเขาออกเดินทางจากบอสตันในวันที่ 11 มิถุนายน ค.ศ. 1833 แต่ต้องติดอยู่ที่สิงคโปร์นานถึง 9 เดือนเพื่อรอเรือ [cite: 238]
- คณะนี้เดินทางถึงบางกอกในวันที่ 25 กรกฎาคม ค.ศ. 1834 ใช้เวลาเดินทางรวมแล้วมากกว่าหนึ่งปี [cite: 238]
- คุณจอห์นสันเริ่มทำงานทันทีในหมู่ชาวจีน [cite: 238]
- คุณโรบินสันทำงานกับชาวสยาม [cite: 238]
- เนื่องจากคณะแบ๊บติสท์เน้นทำงานกับชาวจีนแต้จิ๋ว (Teochew) คณะ ABCFM จึงเน้นทำงานกับชาวจีนฮกเกี้ยน (Hokkien) แทน [cite: 238, 239]
- ทั้งสองเช่าที่ดินได้จากข้าราชการคนหนึ่งชื่อ นายกลิ่น [cite: 240]
- ที่ดินที่เช่ามีขนาดประมาณ 33 ตารางหลา ตั้งอยู่ทางซ้ายมือด้านเหนือของ วัดเกาะ และอยู่ใกล้ตลาด [cite: 240]
- ทำเลที่ตั้งติดตลาดทำให้เป็น “สถานที่ที่ดีเยี่ยมในการติดต่อกับผู้คนทั่วไป” [cite: 240]
- อย่างไรก็ดี ที่ดินผืนนี้ถูกมองว่าเป็น “พื้นที่ไร้ประโยชน์” และไม่เหมาะสำหรับเป็นที่อยู่อาศัยของครอบครัวมิชชันนารี [cite: 240]
- บ้านสองหลังที่สร้างอย่างรวดเร็วเป็นโรงนาหยาบ ๆ บนที่ดินผืนนี้ กลายเป็นที่อยู่ของครอบครัวศาสนาจารย์ทั้งสอง [cite: 240]
🌟 ส่วนที่ 2: หมอบรัดเลย์: แพทย์ผู้บุกเบิกและผู้ให้ (The Great Pioneer: Dr. Bradley)
ถ้าพูดถึงมิชชันนารีในสยาม ไม่มีใครไม่รู้จักชายผู้ทุ่มเทให้กับงานทางการแพทย์และการพิมพ์ท่านนี้!
- นายแพทย์ แดน บีช บรัดเลย์, เอ็ม. ดี. (Dr. Dan Beach Bradley) และภรรยา เดินทางมาพร้อมกับครอบครัว ศาสนาจารย์วิลเลียม ดีน (คณะแบ๊บติสท์) ในช่วงฤดูร้อนของปี 1834 [cite: 240, 241]
- ทั้งหมดต้องรออยู่ที่สิงคโปร์นาน ทำให้ทารกสองคนถือกำเนิดที่นั่น [cite: 241]
- ทารกชายของครอบครัวบรัดเลย์มีชีวิตอยู่ได้เพียงไม่กี่ชั่วโมง [cite: 241]
- ภรรยาของ Dr. Dean ป่วยหนักและกำลังจะเสียชีวิต [cite: 245]
- การทดลองที่กล้าหาญครั้งแรก: Dr. Bradley พยายามทดลองใช้โลหิตของสามีเพื่อช่วยชีวิตภรรยาที่กำลังจะตาย แม้ว่าในยุคนั้น “วิทยาศาสตร์การแพทย์ยังไม่เปิดให้การถ่ายโลหิตเป็นเรื่องปกติ” [cite: 245]
- ทารกหญิงชื่อ มาทิลดา ดีน รอดชีวิต แต่ผู้เป็นมารดาเสียชีวิต [cite: 245]
- หมอบรัดเลย์กับภรรยาจึงรับอุปการะ มาทิลดา ดีน ไว้เป็นลูกบุญธรรม [cite: 245]
- หมอบรัดเลย์และครอบครัวเดินทางถึงสยามในวันที่ 18 กรกฎาคม ค.ศ. 1835 [cite: 245]
- พวกเขาถูกกำหนดให้มีบทบาทสำคัญยิ่งในงานเผยแพร่ศาสนาในอาณาจักรสยาม [cite: 245]
- เมื่อเดินทางมาถึง หมอบรัดเลย์ได้เปิด ห้องพยาบาล ขึ้นห้องหนึ่งที่ด้านล่างของบ้านจอห์นสัน [cite: 246]
- ท่านทุ่มเททำงานด้วยความศรัทธา ความกระตือรือร้น และความแข็งขัน โดยไม่ย่อท้อต่อความเจ็บป่วยหรืออากาศร้อน [cite: 246]
- งานของท่านรวมถึง การสอนศาสนา, เขียนหนังสือ, แปล, พิมพ์, และงานด้านการแพทย์ [cite: 246]
- Dr. Bradley ทำงานอย่างไม่หยุดยั้งจนกระทั่งถึงแก่กรรมในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1873—รวมระยะเวลาการทำงานในสยามถึง 38 ปี [cite: 246]
- เพียง 10 วันหลังจากท่านเดินทางมาถึงสยาม ท่านก็ได้รับสารจากพระศรีพิพัฒ (ต่อมาคือสมเด็จองค์น้อย) [cite: 249]
- สารดังกล่าวเป็นพระราชประสงค์ของพระเจ้าแผ่นดินให้ท่านใช้ความรู้แพทย์รักษา ทาส และ เชลย ที่ล้มป่วยด้วยโรคฝีดาษกับอหิวาตกโรค [cite: 249]
- เชื้อพระวงศ์ผู้แปลพยายามอธิบายอย่างระมัดระวังว่า นี่เป็นการขอให้ทดสอบทักษะของแพทย์ใหม่ ก่อนจะให้รักษาเจ้านายชั้นสูง [cite: 249]
- การแพทย์ vs. โหราศาสตร์: ผู้แปลชาวสยามมีความรู้สึกไม่ดีต่อทักษะของหมอบรัดเลย์ เพราะท่านยอมรับว่า “ไม่สามารถบอกได้ว่าคนไข้จะหายหรือไม่ ถ้าเพียงแต่ใช้สายตามองเท่านั้น” [cite: 249]
- นี่เป็นเรื่องที่แพทย์ชาวสยามในขณะนั้นที่ผสมผสานการแพทย์กับโหราศาสตร์สามารถทำได้ [cite: 249]
- หมอบรัดเลย์ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาการยอมรับจากพระมหากษัตริย์ เพราะห้องพยาบาลของท่านเป็นที่รู้จักดีอยู่แล้ว [cite: 249]
- ห้องพยาบาลของท่านมีคนไข้มาตรวจรักษาประมาณ 100 คนต่อวัน [cite: 249]
- คนไข้ส่วนใหญ่คือชาวจีน ทำให้คุณจอห์นสันใช้โอกาสนี้สอนศาสนาแก่พวกเขาได้ด้วย [cite: 249]
- หมอบรัดเลย์เป็นคนที่มีการจัดการที่ดี สามารถดูแลคนไข้จำนวนมากได้อย่างง่ายดาย [cite: 250]
- องค์กรเล็กๆ ที่ยิ่งใหญ่: งานประจำวันมีการแบ่งหน้าที่ชัดเจน: ภรรยาและผู้ช่วยหญิงดูแลยาฝ่ายหญิง, นายจอห์น (คนจีน) ดูแลฝ่ายชาย, หมอบรัดเลย์คุมภาพรวม, และ ครูชาวสยาม คอยเขียนข้อความจากพระคัมภีร์บนด้านหลังกระดาษที่แจกให้กับคนไข้ [cite: 251]
🌊 ส่วนที่ 3: วิกฤตและการเดินทางครั้งใหม่ (The Crisis and New Mission Center)
ความนิยมที่เพิ่มขึ้นทำให้เกิดความริษยา และเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็บังคับให้พวกเขาต้องย้ายฐานปฏิบัติการ!
- ความนิยมที่เพิ่มขึ้นของหมอสอนศาสนาและการช่วยเหลือผู้คนอย่างเปิดกว้าง ทำให้เกิดความริษยาในหมู่คน [cite: 252]
- นายกลิ่น (เจ้าของที่ดิน) เริ่มกลัวพระราชอำนาจ เพราะให้ชาวต่างชาติเช่าที่ดินโดยไม่ได้รับอนุญาต จึงเร่งเร้าให้ย้ายออก [cite: 252]
- พวกมิชชันนารีพยายามขอความเห็นชอบจากกรมพระคลังเพื่อพำนักต่อ โดยได้รับความช่วยเหลือจากคุณฮันเตอร์ พ่อค้าอังกฤษผู้มีอิทธิพล [cite: 252, 255]
- เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันเมื่อกัปตันเวลล่าร์ เพื่อนของคุณฮันเตอร์ ได้เข้าไป ยิงนกหลายตัวในเขตวัด (วัดเกาะ) [cite: 255]
- พระภิกษุพากันตื่นตระหนก เพราะศาสนาพุทธสอนเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ของทุกชีวิต การกระทำนี้จึงถือเป็นการดูหมิ่นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ [cite: 255]
- กัปตันเวลล่าร์ถูกทำร้ายอาการสาหัส [cite: 255]
- คุณฮันเตอร์ยื่นข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลสยาม และถึงกับ ข่มขู่ที่จะให้อังกฤษยึดสยามเป็นเมืองขึ้น เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้เพื่อน [cite: 255]
- แม้หมอสอนศาสนาจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่เหตุการณ์นี้ก็ไม่ได้ช่วยสนับสนุนฝ่ายพวกเขาเลย [cite: 255]
- หลังเจรจาเกือบหนึ่งเดือน ทางสยามยื่นคำขาดให้พวกเขาย้ายออกจากที่ดินภายใน 5 วัน [cite: 255]
- เหตุผลเร่งด่วนคือ พระเจ้าแผ่นดินจะเสด็จพระราชดำเนินมายังตลาดวัดเกาะพอดี [cite: 255]
- ช่วงเวลานั้นเป็นเวลาที่น่าเศร้าและทุกข์ใจอย่างยิ่ง เพราะต้องหาที่พักให้กับครอบครัวถึงสามครอบครัว [cite: 255]
- ยิ่งไปกว่านั้น ทารกหญิงของครอบครัวจอห์นสันกำลังนอนป่วยหนัก [cite: 255]
- พวกเขาตัดสินใจย้ายออกในวันที่ 5 ตุลาคม ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่ได้รับอนุญาต [cite: 255]
- ในวันถัดมา (6 ตุลาคม) หนูน้อยแมรี่ จอห์นสัน ลูกสาววัยทารกก็ได้เสียชีวิตลง [cite: 255]
- แมรี่ จอห์นสัน ถูกฝังอยู่ข้างหลุมศพของภรรยา Mr. Gutzlaff และลูกๆ ของมิชชันนารีท่านอื่น [cite: 255]
- ครอบครัวโรบินสันย้ายไปอยู่ที่บ้านโปรตุเกสเล็ก ๆ ใกล้คณะแบ๊บติสท์ [cite: 255]
- ครอบครัวจอห์นสันย้ายไปอยู่ เรือนแพ ที่จอดอยู่หน้าโบสถ์ซันตา ครูช [cite: 255]
- หมอบรัดเลย์ ภรรยา และมาทิลดา (ลูกบุญธรรม) เช่าบ้านหลังเล็กอยู่ในหมู่บ้านคาทอลิกซันตา ครูช [cite: 255]
- เรือนแพที่จอห์นสันซื้อไว้ถูกใช้เป็น สถานพยาบาลลอยน้ำ (Floating Dispensary) [cite: 255]
- บ้านที่หมอบรัดเลย์เช่าอยู่มีขนาดเพียง 12 x 25 ฟุต แต่พวกเขาได้ต่อเฉลียงเพิ่มเพื่อใช้เป็นห้องพยาบาล [cite: 255, 259]
- สถานที่แห่งใหม่ที่เลือกเป็นของกรมพระคลัง ตั้งอยู่ตรงข้ามลำคลองใกล้บ้านเช่าของหมอบรัดเลย์ [cite: 260]
- กรมพระคลังสัญญาว่าจะสร้างบ้านให้สองหลัง โดยจ่ายค่าเช่าเดือนละ 65 บาท [cite: 260]
- บ้านหลังใหม่เป็นบ้านไม้ทรงสูงสองชั้น หลังคามุงกระเบื้อง แม้จะสร้างอย่างหยาบ ๆ แต่ก็อยู่สบาย [cite: 260]
- บ้านทั้งสองหลังสร้างเสร็จในปี ค.ศ. 1838 และเป็นที่ตั้งของคริสตจักรคอนเกร็กเกชันแนลนานถึง 15 ปี [cite: 260]
💡 ส่วนที่ 4: การปฏิรูปทางการแพทย์และการพิมพ์ (Medical & Printing Revolution)
การแพทย์แผนใหม่และการพิมพ์กลายเป็นอาวุธสำคัญที่มิชชันนารีใช้ในการเปลี่ยนแปลงสยาม!
- มิตรภาพที่ดีก่อตัวขึ้นระหว่าง หมอบรัดเลย์ กับ หลวงนายสิทธิ์ บุตรชายของกรมพระคลัง [cite: 261]
- หลวงนายสิทธิ์เป็นผู้สร้าง เรือใบสองเสาลำแรกในสยาม ชื่อว่า “อารีล” ในปี ค.ศ. 1835 [cite: 261]
- หมอบรัดเลย์เคยป่วยเป็นโรคบิดอย่างหนัก ต้องใช้เวลาถึง 4 ปีจึงจะสามารถรักษาให้หายขาดได้ [cite: 261]
- Dr. Bradley นำ แท่นพิมพ์ ของคณะ ABCFM จากสิงคโปร์มายังบางกอกด้วย [cite: 262]
- ท่านใช้เวลาถึงหนึ่งปีหลังจากมาถึงสยามจึงสามารถตั้งโรงพิมพ์และเริ่มพิมพ์งานได้ [cite: 262]
- สิ่งพิมพ์ยุคแรกๆ: งานพิมพ์ชุดแรกในภาษาสยามคือแผ่นพิมพ์ 8 หน้าเกี่ยวกับเรื่องย่อของบัญญัติสิบประการ, บทสวดสั้น ๆ และเพลงอนุโมทนา [cite: 262]
- ตัวอักษร (Siamese types) ที่ใช้ทำมาจากเบงกอล และทั้งแท่นพิมพ์กับตัวอักษรก็ถูกวิจารณ์ว่า “น่าเกลียดมาก” [cite: 262]
- ในปี ค.ศ. 1836 คณะมิชชันแบ๊บติสท์ได้รับแท่นพิมพ์ที่มีเครื่องไม้เครื่องมือพร้อมบริบูรณ์ก่อน [cite: 265]
- ในปีต่อมา (ค.ศ. 1837) คณะ ABCFM ก็ได้รับแท่นพิมพ์ใหม่สองแท่นที่สมบูรณ์แบบ [cite: 265]
- งานพิมพ์ถือเป็น “องค์ประกอบสำคัญยิ่ง” ต่องานพันธกิจคริสตจักรในสยาม [cite: 266]
- สำนักพิมพ์ของมิชชันนารีเป็นผู้พิมพ์ พระราชกฤษฎีกาประกาศเลิกฝิ่น ของรัฐบาลสยาม ในวันที่ 27 เมษายน ค.ศ. 1839 [cite: 266]
- พระราชกฤษฎีกาเลิกฝิ่นฉบับนี้นับเป็น เอกสารรัฐบาลฉบับแรกที่พิมพ์ในอาณาจักรสยาม โดยพิมพ์จำนวน 9,000 ฉบับ [cite: 266]
- การผ่าตัดครั้งแรกในสยาม: ในปี ค.ศ. 1837 มีงานฉลองถวายวัดของกรมพระคลังเกิดปืนระเบิด มีผู้บาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก [cite: 267]
- คืนนั้น หมอบรัดเลย์ประสบความสำเร็จในการ ตัดแขนของพระภิกษุรูปหนึ่ง [cite: 267]
- การผ่าตัดแบบสมัยใหม่ครั้งนี้ เชื่อกันว่าเป็นการกระทำเป็นครั้งแรกในอาณาจักรสยาม [cite: 267]
- ผู้คนต้องการยารักษาโรคและหนังสือสอนศาสนาที่แจกจ่ายฟรีจากหมอสอนศาสนาอย่างมาก [cite: 268]
- ในช่วงปีแรกๆ คนสยามไม่ให้ความสนใจการเปลี่ยนศาสนา เพราะ ความเกรงกลัวต่อโทษทัณฑ์จากพระเจ้าแผ่นดิน [cite: 268]
- ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงก่อนที่จะมีการออกพระราชกฤษฎีกาเกี่ยวกับ เสรีภาพทางศาสนา [cite: 268]
- คนจีนที่เข้ามาตั้งรกรากในสยามมีความกลัวน้อยกว่า และได้รับเสรีภาพทางมโนธรรมอย่างเต็มที่ [cite: 269]
- มีเพียงความไม่พอใจจากญาติพี่น้องเท่านั้นที่คนจีนเกรงกลัวหากเปลี่ยนศาสนา จึงมีการเปลี่ยนศาสนาในหมู่คนจีน [cite: 269]
- คริสตจักรแบ๊บติสท์จีนแห่งแรกถูกจัดตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1837 โดยมีสมาชิก 11 คน [cite: 269]
🩺 ส่วนที่ 5: การต่อสู้กับโรคระบาดและการเปลี่ยนแปลงสู่ยุคใหม่ (Vaccination and Legacy)
การต่อสู้กับโรคฝีดาษคือเครื่องพิสูจน์ความอดทน และการสอนเจ้าฟ้ามงกุฎคือจุดเปลี่ยนสำคัญของประเทศ!
- ปี ค.ศ. 1838 เป็นปีที่ Dr. Bradley ประสบความสำเร็จเป็นครั้งแรกในการ ปลูกฝีป้องกันฝีดาษ (Smallpox Vaccination) [cite: 273]
- โรคฝีดาษระบาดอย่างรุนแรงในบางกอก และทำให้คนตายมากมายในทุก ๆ ปี [cite: 273]
- ความพยายามในการปลูกฝีมีมาหลายปีแต่ไม่สำเร็จ [cite: 273]
- พวกมิชชันนารีตัดสินใจปลูกฝีให้กับลูกของตนเองได้สำเร็จโดยนำเชื้อมาจากคนไข้ที่เป็นโรคฝีดาษ (ทำไปด้วยความสิ้นหวัง) [cite: 273]
- กษัตริย์ทรงสนพระทัย: สมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) ทรงสนใจอย่างยิ่ง และทรงส่งหัวหน้าหมอหลวงไปพบแพทย์ของมิชชันนารีเพื่อศึกษาการปลูกฝี [cite: 273]
- ในปีถัดมา พระองค์พระราชทานเงินพิเศษหลายพันบาทแก่หมอหลวงและหมอบรัดเลย์สำหรับงานปลูกฝีร่วมกันเป็นเวลาสามเดือน [cite: 273]
- ความสำเร็จครั้งใหญ่: ปี ค.ศ. 1840 นับว่าเป็นปีที่การปลูกฝีประสบความสำเร็จอย่างแท้จริงในอาณาจักรสยาม [cite: 273]
- จุดเปลี่ยนทางการเมือง: ในปี ค.ศ. 1845 เจ้าฟ้ามงกุฎ (ต่อมาคือ รัชกาลที่ 4) ทรงเชิญ ศาสนาจารย์ เจสซี คาสเวลล์ มาเป็นพระอาจารย์ส่วนพระองค์ [cite: 282]
- การสอนศาสนาในวัง: เจ้าฟ้ามงกุฎทรงกระตือรือร้นที่จะศึกษามากจนถึงกับอนุญาตให้ Mr. Caswell ใช้ห้องในบริเวณวัดบวรนิเวศ (ที่พระองค์เป็นเจ้าอาวาส) เป็นที่สอนศาสนาและแจกจ่ายหนังสือได้ [cite: 282]
- การสอนนี้ดำเนินไปกว่าหนึ่งปีครึ่ง ซึ่งเชื่อมโยงอนาคตของสยามเข้ากับครูสอนศาสนาผู้เคร่งครัดและนักเรียนผู้ขยันขันแข็ง [cite: 283]
- ศาสนาจารย์ คาสเวลล์ ได้ถวายงานแก่เจ้าฟ้ามงกุฎในครั้งยังทรงผนวช โดยเสนอแนวคิดเสรีนิยมที่รัฐบาลควรมี รวมถึง เสรีภาพทางศาสนา [cite: 290]
- เมื่อจีนเริ่มเปิดประเทศในปี ค.ศ. 1846 คณะ ABCFM ตัดสินใจยุบหน่วยงานพันธกิจฝ่ายจีนในสยาม [cite: 286, 287]
- ศาสนาจารย์ จอห์นสัน และ พีต ถูกส่งไปจัดตั้งงานพันธกิจใหม่ที่เมืองฝูโจว ประเทศจีน [cite: 287]
- ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1848 คณะ ABCFM ประสบความสูญเสียอย่างสุดซึ้งจากการเสียชีวิตของ ศาสนาจารย์ เจสซี คาสเวลล์ [cite: 290]
- ในปี ค.ศ. 1847 หมอบรัดเลย์และลูกกำพร้าแม่สามคนเดินทางกลับไปสหรัฐฯ เพื่อเยี่ยมบ้านเกิด [cite: 288]
- คณะหมอสอนศาสนาเพรสไบทีเรียนกลุ่มใหม่ ซึ่งรวมถึง ซามูเอล เฮาส์ (Dr. House) ได้เดินทางมาถึงสยามเพื่อเปิดงานสอนศาสนาขึ้นใหม่ [cite: 288]
- Dr. House ต้องเปิดสถานพยาบาลของหมอบรัดเลย์ที่ปิดไปขึ้นมาใหม่ โดยดำเนินงานบน โอสถศาลาลอยน้ำ (Floating Dispensary) [cite: 289]
- มรสุมแห่งการสูญเสีย: ในช่วง ค.ศ. 1841-1845 คณะมิชชันนารีสูญเสียบุคลากรหลายคน: ภรรยา Mr. Benham กลับไปสหรัฐฯ, Mrs. Johnson เสียชีวิตจากโรคสมอง, Mr. French เสียชีวิตด้วยวัณโรค, Miss Pierce (มิชชันนารีหญิงโสดคนแรก) เสียชีวิตด้วยวัณโรค, Mr. Robinson เสียชีวิตขณะเดินทางกลับอเมริกา, และ Mrs. Bradley ก็เสียชีวิตในบางกอกด้วยวัณโรค [cite: 281]
- การสูญเสียครั้งใหญ่เหล่านี้ทำให้คนทำงานลดน้อยลงมาก ในช่วงเวลาที่ควรจะก้าวไปข้างหน้า [cite: 281]
CH4
สรุป 53 เรื่องน่ารู้! ยุคบุกเบิกของมิชชันนารีในสยาม (ค.ศ. 1840-1860)
Section 1: ⚓ การมาถึงของคณะเพรสไบทีเรียน (The Great Beginning)
นี่คือจุดเริ่มต้นของการทำงานของคณะเพรสไบทีเรียนในบางกอก ซึ่งต้องเจอทั้งความสำเร็จและความล้มเหลวชั่วคราว
- จุดเริ่มต้นในสิงคโปร์: ศาสนาจารย์ โรเบิร์ต ดับบลิว. ออร์ ซึ่งเป็นมิชชันนารีเพรสไบทีเรียนชาวจีนคนแรก แต่ประจำอยู่ที่สิงคโปร์ ได้เดินทางมาเยือนสยามในปี ค.ศ. 1838 [cite: 250]
- ผู้เสนอไอเดีย: ท่านออร์สนับสนุนอย่างเต็มที่ให้เปิดงานพันธกิจในบางกอก โดยแบ่งเป็นสองส่วน คือ สำหรับชาวจีนและสำหรับชาวสยาม [cite: 250]
- ทีมบุกเบิกคนแรก: ศาสนาจารย์ วิลเลียม พี. บูเอล และภรรยา เป็นบุคคลแรกที่ได้รับการแต่งตั้งให้มาจัดตั้งศูนย์พันธกิจเพรสไบทีเรียนใหม่ [cite: 251]
- มาถึงบางกอก: คุณบูเอลกับภรรยาเดินทางมาถึงบางกอกในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1840 [cite: 251]
- ไม่ใช่คนแรก: ก่อนหน้าเพรสไบทีเรียน มีคณะมิชชันคอนเกร็กเกชันแนลมาก่อน 9 ปี และคณะมิชชันแบ๊บติสท์มาก่อน 7 ปีแล้ว [cite: 252]
- รวมตัวกันเยอะ: ในช่วงนั้น มีหมอสอนศาสนาจากสองคณะแรก (คอนเกร็กเกชันแนลและแบ๊บติสท์) ในบางกอกไม่น้อยกว่า 24 คน [cite: 252]
- สนิทกันนะ: แม้คณะมิชชันแต่ละแห่งจะแยกทำงานกันอย่างเป็นอิสระ แต่ก็มี “สายสัมพันธ์อันใกล้ชิด” ต่อกัน [cite: 252]
- บ้านหมุนเวียน: ในช่วงแรกๆ การประกอบพิธีทางศาสนาในภาษาอังกฤษประจำสัปดาห์ จะจัดหมุนเวียนกันไปตามบ้านของหมอสอนศาสนา [cite: 253]
- เก่งภาษา: คุณบูเอลอุทิศเวลาเรียนภาษาสยามจนสามารถเทศนาและอธิบายพระคัมภีร์ได้ [cite: 257]
- ปัญหาครอบครัว: คุณบูเอลกับภรรยาต้องตัดสินใจเดินทางกลับอเมริกาอย่างไม่เต็มใจนัก เพราะภรรยาป่วยเป็นอัมพาต [cite: 257]
- เรือเที่ยวประวัติศาสตร์: ในปี ค.ศ. 1844 คุณบูเอลกับภรรยาได้โดยสาร “เรือกลไฟลำแรก” ที่เดินทางมาถึงสยาม เพื่อเดินทางกลับ [cite: 258]
- งานหยุดชั่วคราว: การเดินทางกลับของทั้งสองท่านในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1844 ทำให้คณะมิชชันเพรสไบทีเรียนในสยามต้องสิ้นสุดลงชั่วคราวเป็นเวลาถึง 3 ปี [cite: 258, 259]
Section 2: 🇹🇭 สยามยุคระส่ำระสาย (The Troubled Reign)
ในช่วงที่มิชชันนารีเข้ามาตรงกับรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) ซึ่งเป็นยุคที่บ้านเมืองไม่สงบนัก
- รัชสมัย 23 ปี: พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงครองราชย์ 23 ปี ซึ่งถูกเรียกว่าเป็นช่วงเวลาแห่ง “ความยุ่งเหยิง” [cite: 265]
- กลัวต่างชาติ: ความยุ่งเหยิงส่วนหนึ่งมาจากการที่ทรงเกรงว่าอังกฤษจะขยายตัวเข้ามา เพราะอังกฤษเพิ่งยึดพม่าในปี ค.ศ. 1824 [cite: 265, 268]
- ตัวอย่างความวุ่นวาย (1) กบฏจีน: มีการก่อกบฏของคนจีนที่จันทบุรี (ค.ศ. 1842) และการลุกฮือที่ปากแม่น้ำหลายแห่ง เช่น นครชัยศรีและฉะเชิงเทรา [cite: 265]
- ตัวอย่างความวุ่นวาย (2) กบฏลาว: มีกบฏจากฝ่ายลาว เช่น เจ้าเวียงจันทน์ (ค.ศ. 1826) และหลวงพระบาง (ค.ศ. 1835) [cite: 265]
- ตัวอย่างความวุ่นวาย (3) กบฏรอบข้าง: มีการก่อการกบฏของเขมรกับญวน (ค.ศ. 1833) และโจร สลัดมาเลย์ (ค.ศ. 1838) [cite: 265]
- 11 ครั้งใน 23 ปี: ใน 23 ปีนั้น มีการก่อกบฏครั้งสำคัญๆ ไม่น้อยกว่า 11 ครั้ง ทำให้การดำรงอยู่ของราชบัลลังก์ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย [cite: 265]
- หวาดระแวงชาวต่างชาติ: เหตุการณ์วุ่นวายเหล่านี้ยิ่งเพิ่มความหวาดระแวงที่พระมหากษัตริย์ทรงมีต่อชาวต่างชาติภายในราชอาณาจักร [cite: 268]
- จำใจเซ็นสัญญา: สยามทำสนธิสัญญาทางการค้ากับอังกฤษและสหรัฐอเมริกา “อย่างไม่เต็มใจนัก” เพียงเพื่อรักษาสันติภาพกับมหาอำนาจตะวันตก [cite: 268]
- ทำดีก็ถูกสงสัย: การที่หมอสอนศาสนาทำความดีและแจกจ่ายหนังสือตลอดเวลา ถูกมองว่า “ดูประหลาดและไม่อาจให้คำอธิบายได้” ทำให้ถูกมองอย่างกังขาโดยรัฐบาล [cite: 269]
Section 3: 🚀 ทีมถาวรและการพลิกเกม (The Permanent Team)
หลังจากงานหยุดไป 3 ปี คณะเพรสไบทีเรียนก็กลับมาอีกครั้งอย่างแข็งแกร่ง และกลายเป็นกำลังหลักในสยาม
- ทีมชุดใหม่มาแล้ว: ภารกิจการดำเนินงานอย่างถาวรตกเป็นของ ศาสนาจารย์ สตีเฟน มัตตูน, ภรรยา, และนายแพทย์ ซามูเอล อาร์. เฮาส์ [cite: 260]
- เดินทาง 8 เดือน: พวกเขาล่องเรือจากนิวยอร์คในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1846 และมาถึงบางกอกในวันที่ 22 มีนาคม ค.ศ. 1847 ใช้เวลานานถึง 8 เดือน [cite: 260]
- ได้รับการต้อนรับ: หมอสอนศาสนารุ่นใหม่ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากคณะมิชชันที่อยู่ก่อนแล้ว (เอ.บี.ซี.เอฟ.เอ็ม. และแบ๊บติสท์) [cite: 288]
- เข้าเฝ้าบุคคลสำคัญ: พวกเขาได้เข้าเฝ้า “กรมพระคลัง” และที่สำคัญคือ “เจ้าฟ้ามงกุฎ (เจ้าฟ้าพระภิกษุ)” ที่วัดบวรนิเวศ [cite: 289]
- คนเมตตา: เจ้าฟ้ามงกุฎ (ต่อมาคือ รัชกาลที่ 4) ทรงมีพระเมตตาต่อคณะผู้มาใหม่กลุ่มนี้เป็นพิเศษ [cite: 289]
- กำลังเสริมแรก: ในปี ค.ศ. 1849 คณะเพรสไบทีเรียนก็ได้รับกำลังเสริมกลุ่มแรกคือ ศาสนาจารย์ สตีเฟน บุช และภรรยา [cite: 294]
- ทีมแพทย์กลับมา: ในปี ค.ศ. 1850 ศาสนาจารย์ นายแพทย์บรัดเลย์ก็เดินทางกลับมาพร้อมกับภรรยาใหม่และครอบครัว [cite: 310]
- กิ่งไม้ใหญ่: คณะเพรสไบทีเรียนค่อยๆ เติบโตจนเป็น “กิ่งไม้ที่เติบใหญ่” และกลายเป็นหลักสำคัญของคณะมิชชันในสยามไปจนถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 [cite: 281]
Section 4: ⚕️ งานการแพทย์และโรงพิมพ์ (Healing and Printing)
มิชชันนารีใช้การแพทย์สมัยใหม่และงานพิมพ์เป็นเครื่องมือสำคัญในการเผยแพร่ศาสนา
- ผู้บุกเบิกการแพทย์: งานด้านการแพทย์ต่างชาติซึ่งถูกนำเข้ามาโดย หมอบรัดเลย์ ได้กลายเป็น “พื้นฐานสำคัญของการแพทย์แผนใหม่” ในสยาม [cite: 278, 279]
- คลินิกลอยน้ำ: เมื่อหมอเฮาส์มาถึง คนป่วยหลั่งไหลกันมาขอรักษา จนท่านต้องเปิด “ห้องพยาบาลลอยน้ำ” ขึ้นมาใหม่ [cite: 290, 292]
- ยอดคนไข้สูงลิ่ว: ในช่วง 18 เดือนแรก หมอเฮาส์รักษาคนป่วยไปถึง 3,117 คน [cite: 292]
- แรงกดดัน: ภาระการดูแลคนป่วยหนักเกือบทำให้หมอเฮาส์แบกไม่ไหว จนต้องเลิกงานด้านการแพทย์ชั่วคราวก่อนจะได้รับความช่วยเหลือ [cite: 292]
- คนไข้เปลี่ยนไป: คนไข้ส่วนใหญ่ของหมอเฮาส์เป็น ชาวสยาม ซึ่งต่างจากประสบการณ์แรกๆ ของมิชชันนารีที่ส่วนใหญ่เป็นชาวจีน [cite: 309]
- งานแปลระดับมาสเตอร์: หมอบรัดเลย์, ตร. โจนส์, และคุณโรบินสัน มีบทบาทสำคัญในการแปลและเขียนตำราเป็น ภาษาสยาม [cite: 272]
- ผลิตงานเพียบ: โรงพิมพ์ของคณะมิชชันแบ๊บติสท์และคอนเกร็กเกชันแนลมีเครื่องมือครบครันและผลิตงานพิมพ์ออกมาเป็นจำนวนมาก [cite: 270, 272]
- ตัวอย่างงานพิมพ์: มีการพิมพ์งานแปลพระคัมภีร์ใหม่ (เช่น ฉบับของแบ๊บติสท์), งานเขียนเกี่ยวกับชีวิตพระเยซูคริสต์, และประวัติบุคคลสำคัญในพระคัมภีร์เก่า (เช่น โยเซฟ, โมเสส) [cite: 272, 277]
- แจกหนัก: มีการซื้อเอกสารถึง 554,500 แผ่น จากโรงพิมพ์อื่นๆ มาเพื่อแจกจ่ายให้กับผู้คน [cite: 306]
- พระภิกษุกระตือรือร้น: คุณมัตตูนไปเยี่ยมวัดหลายแห่งเพื่อแจกจ่ายงานเขียน และพบว่า “พระภิกษุ” คือกลุ่มที่กระตือรือร้นจะรับงานเขียนเหล่านี้มากที่สุด [cite: 292]
- ศูนย์กระจายหนังสือ: คุณมัตตูนต้อนรับผู้คนที่มาขอรับหนังสือที่ศูนย์มิชชัน วันละประมาณ 15-20 คน (ยกเว้นช่วงที่อหิวาตกโรคระบาด) [cite: 306]
- ไปไกลถึงต่างจังหวัด: มีการเดินทางไปแจกจ่ายหนังสือตามหัวเมืองต่างๆ เช่น เพชรบุรี, อยุธยา, พระบาทสระบุรี, และประทิว [cite: 293]
- อ่านเพิ่ม: มีหลักฐานว่าความต้องการด้านการอ่านเพิ่มสูงขึ้นในบริเวณที่งานพิมพ์แพร่หลายมากที่สุด [cite: 309]
- ค่าใช้จ่ายยุคบุกเบิก: เงินเดือนของคุณบูเอลและภรรยาถูกกำหนดไว้ที่ 600 ดอลลาร์ต่อปี และเพิ่มอีก 50 ดอลลาร์ต่อปีสำหรับลูกแต่ละคน [cite: 283]
- งบประมาณรวม: งบประมาณทั้งหมดต่อหนึ่งปีโดยประมาณคือ 1,500 ดอลลาร์สหรัฐฯ (รวมเงินเดือน, ค่าเช่าบ้าน, ค่าจ้างครู, เบ็ดเตล็ด) [cite: 284]
Section 5: 💀 วิกฤตโรคระบาดและการสืบทอดงาน (Crisis and Succession)
การทำงานของมิชชันนารีเกิดขึ้นในช่วงที่เกิดโรคระบาดใหญ่ และเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านสำคัญของคณะมิชชันต่างๆ
- มหาภัยอหิวาตกโรค: ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1849 อหิวาตกโรคระบาดอย่างหนักในบางกอก [cite: 294]
- ผู้เสียชีวิตมหาศาล: มีผู้คนในบางกอกล้มตายถึง 35,000 ถึง 40,000 คน [cite: 294]
- จุดพีค: ในช่วงที่โรคระบาดสูงสุด มีผู้เสียชีวิตถึง 2,000 คน ภายใน 24 ชั่วโมง ในเขตบางกอกเดียว [cite: 294]
- ช่วยเหลือทุกชนชั้น: หมอในคณะมิชชันทุ่มเทรักษาผู้ป่วยทั้งในพระราชวังและในกระต๊อบไม้ไผ่ [cite: 298]
- สร้างมิตรภาพ: การรักษาผู้คนมากมายให้รอดชีวิต มีผลต่อการสร้าง “มิตรภาพชั่วชีวิตของทั้งสองฝ่าย” [cite: 298]
- ศรัทธาจากหนังสือ: ผู้เสียชีวิตที่เป็นคริสตศาสนิกชนเพียงคนเดียวจากโรคระบาดนี้ ได้เรียนรู้ความเชื่อจากการ อ่านพระคัมภีร์และหนังสือ โดยที่ไม่เคยพบครูสอนศาสนามาก่อน [cite: 298]
- คณะอื่นปิดตัว: คณะมิชชันคอนเกร็กเกชันแนล (เอ.บี.ซี.เอฟ.เอ็ม.) และแบ๊บติสท์ประสบปัญหาจนมีฐานะง่อนแง่นและเกือบต้องปิดตัวลง [cite: 280]
- เพรสไบทีเรียนรับช่วงต่อ: การที่สมาชิกสุดท้ายของคณะคอนเกร็กเกชันแนลเดินทางกลับอเมริกา ทำให้คณะเพรสไบทีเรียนซึ่งอาศัยอยู่ในที่ดินเดิม ถือเป็นผู้ “รับช่วงงาน” ต่อไปโดยปริยาย [cite: 301, 302]
- คริสตจักรแรก: กลุ่มหมอสอนศาสนาเพรสไบทีเรียนกลุ่มเล็กๆ ได้รวมตัวกันเพื่อก่อตั้ง คริสตจักรเพรสไบทีเรียนแห่งแรก ขึ้นในบางกอก [cite: 303]
Ch5
🧭 Section 1: ก้าวสู่ “ยุคขยายงาน” (The New Mission Era)
นี่คือจุดเปลี่ยนสำคัญของคณะหมอสอนศาสนาในสยาม เมื่อภารกิจไม่ได้จำกัดอยู่แค่กรุงเทพฯ อีกต่อไป
- จุดสิ้นสุดของยุคบุกเบิก: ปี ค.ศ. 1860 ถือเป็นปีสิ้นสุดของ “ยุคบุกเบิก” อย่างไม่เป็นทางการ[cite: 142].
- จุดเริ่มต้นยุคใหม่: และเป็นปีเริ่มต้นของ “ยุคขยายงาน” ทันที เพื่อกระจายงานไปสู่พื้นที่ที่กว้างขึ้น[cite: 142].
- การเปลี่ยนผ่านแบบค่อยเป็นค่อยไป: การเปลี่ยนผ่านระหว่างยุคไม่ได้เกิดขึ้นแบบปุบปับ แต่เป็นเรื่องที่คลุมเครือและต้องค่อยเป็นค่อยไป[cite: 142]. (เปรียบเหมือนการปรับกระบวนทัพใหม่ ไม่ใช่แค่เปลี่ยนผู้นำ)
- สามทหารเสือผู้บุกเบิก: ในยุคแรก งานของคณะมิชชันเพรสไบทีเรียนรวมอยู่ที่บุคคลเพียงสามคน คือ ศาสนาจารย์ เอส. มัตตูน, ภรรยาของท่าน, และ ดร.เอส. อาร์. เฮาส์[cite: 142, 143].
- แบกภาระทั้งหมด: บุคคลทั้งสามต้องแบกภาระความวุ่นวายรายวันและเป็นผู้วางนโยบายของคณะมิชชันอยู่ตามลำพัง[cite: 143].
- ความโดดเดี่ยวของผู้กล้า: พวกเขาต้องเผชิญกับปัญหาและความท้อแท้กันเองในหมู่คณะ[cite: 143].
- คุณสมบัติของผู้นำ: ผู้บุกเบิกเหล่านี้ได้รับคำยกย่องในด้านความกล้าหาญ, ความอดทน, และความพากเพียรอุตสาหะ[cite: 143].
- กำลังเสริมมาแล้ว! การเริ่มต้น “ยุคขยายงาน” มาจากการเพิ่มจำนวนขึ้นของหมอสอนศาสนาที่เดินทางเข้ามาร่วมทีม[cite: 144, 145].
- แรงกระตุ้นแรกสุด: เมื่อมีกำลังเสริมมาแล้ว สิ่งที่ต้องทำเป็นอันดับแรกคือการ “ขยายงานออกไปให้กว้างขึ้น”[cite: 145].
🗺️ Section 2: การเปิดด่านแรกที่เพชรบุรี (Phetchaburi: The First Outpost)
เพชรบุรีคือศูนย์พันธกิจแห่งแรกที่เปิดนอกกรุงเทพฯ และกลายเป็นต้นแบบการทำงานในภูมิภาค
- เพชรบุรีในความสนใจ: หมอสอนศาสนาให้ความสนใจเพชรบุรีเป็นพิเศษในการก่อตั้งศูนย์พันธกิจ[cite: 149, 151].
- ร.4 กับเพชรบุรี: ใน ค.ศ. 1860 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) เสด็จฯ เพชรบุรีหลายครั้งและสร้างวัง/วัดที่นั่น[cite: 149, 150].
- เหตุผลที่มิชชันสนใจ: ความสนใจของหมอสอนศาสนาในเพชรบุรีไม่ได้มาจากความสนใจของกษัตริย์ แต่มาจากที่พวกเขาเคยเดินทางเข้าไปในราชอาณาจักรบ่อยครั้ง[cite: 151].
- สองสหายผู้ตั้งใจบุกเบิก: ใน ค.ศ. 1858-1859 สหายสองคนคือ ศาสนาจารย์ วิลสัน และ ศาสนาจารย์ แมคกิลวารี ตั้งใจอย่างแน่วแน่ที่จะเริ่มงานที่เพชรบุรี[cite: 151].
- ความฝันที่สะดุด: โอกาสในการทำงานเริ่มแรกหยุดลง เพราะการถึงแก่กรรมของภรรยาคุณวิลสันก่อนเวลาอันควร[cite: 151].
- ความรักเปิดทาง: หนทางแห่งศรัทธาเปิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อมิสบรัดเลย์แต่งงานกับคุณแมคกิลวารี[cite: 151].
- เปิดศูนย์อย่างเป็นทางการ: ศูนย์แห่งแรกนอกกรุงเทพฯ ถูกเปิดขึ้นอย่างเป็นทางการที่เพชรบุรีในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1861[cite: 152].
- ตัวช่วยกรุงเทพฯ: งานที่เพชรบุรีช่วย “ปลดเปลื้องอุปสรรคมากมายในบางกอก”[cite: 152].
- แนวโน้มดี: ศูนย์แห่งใหม่ที่เพชรบุรีมีแนวโน้มที่จะเจริญเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ[cite: 152].
- มิตรแท้จากรัฐบาล: ผู้ว่าราชการเพชรบุรีในขณะนั้น (ต่อมาคือ เจ้าพระยาภานุวงศ์มหาโกษาธิบดี) เป็น “มิตรที่ดียิ่ง” ของหมอสอนศาสนา[cite: 152].
- ผู้ว่าฯ ระดับอินเตอร์: ผู้ว่าราชการท่านนี้เคยดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตของสยามที่ราชสำนักอังกฤษ (เซนต์เจมส์)[cite: 152].
- ต่อมาเป็นเสนาบดี: และต่อมาท่านก็ดำรงตำแหน่งเป็นเสนาบดีกระทรวงต่างประเทศของสยาม[cite: 152].
- ช่วยเหลือทุกทาง: ท่านได้ช่วยหาที่ดินเพื่อตั้งศูนย์พันธกิจและให้ความช่วยเหลือในด้านอื่น ๆ นับไม่ถ้วน[cite: 152].
- ตัวอย่างความเมตตา (ฉุกเฉิน): ครั้งหนึ่งชีวิตหมอสอนศาสนาสตรีตกอยู่ในอันตราย ท่านได้ให้ยืมเรือแพของท่านพร้อมเพิ่มฝีพาย 1 เท่า เพื่อนำคนป่วยไปบางกอกอย่างด่วน[cite: 152]. (ความช่วยเหลือที่เร็วและเมตตา ช่วยชีวิตได้ทันท่วงที)
- ตั้งคริสตจักร: มีการตั้งคริสตจักร (โบสถ์) ขึ้นที่เพชรบุรีใน ค.ศ. 1863[cite: 152].
- ก้าวแรกของคนสยาม: ใน ค.ศ. 1867 คริสตจักรภาคเพรสไบทีเรียนได้แต่งตั้ง “ครูสอนศาสนาชาวสยามคนหนึ่ง” เป็นครั้งแรก[cite: 152].
- การขยายตัวที่แท้จริง: การแต่งตั้งครูสอนศาสนาชาวสยามคนนี้ ถือเป็นการดำเนินงาน “ก้าวแรกที่นำไปสู่ ‘การขยายตัว’” อย่างแท้จริง[cite: 153].
🖨️ Section 3: ภารกิจเครื่องพิมพ์ (The Spreading Power of the Press)
การสร้างโรงพิมพ์เป็นจุดขยายงานที่สำคัญขั้นที่สอง เพราะการเผยแพร่ศาสนาต้องอาศัยการอ่านและการพิมพ์เป็นหลัก
- การขยายงานขั้นที่สอง: คือการก่อตั้งโรงพิมพ์ของคณะมิชชันเพรสไบทีเรียนใน ค.ศ. 1861[cite: 154].
- โรงพิมพ์คู่แข่ง (รุ่นพี่): ก่อนหน้านั้น คณะมิชชันคอนเกเกชันแนลกับแบ๊บติสท์ได้ตั้งโรงพิมพ์ที่สมบูรณ์แบบไปก่อนแล้ว[cite: 154].
- ความสำคัญของโรงพิมพ์: โรงพิมพ์มีไว้สำหรับการพิมพ์พระคัมภีร์ที่แปลเป็นภาษาสยาม และงานด้านศาสนาอื่นๆ[cite: 154].
- ทำไมล่าช้า: คณะมิชชันเพรสไบทีเรียนเลื่อนการตั้งโรงพิมพ์ของตนออกไป เพราะมีโอกาสซื้องานพิมพ์จากมิชชันอื่นๆ ได้[cite: 158].
- ข้อจำกัด: การเลื่อนเกิดจากกำลังงานและเงินทุนที่จำกัดในตอนนั้นด้วย[cite: 158].
- เตรียมพร้อมเสมอ: แม้ไม่มีโรงพิมพ์ของตนเอง หมอสอนศาสนารุ่นแรกๆ ก็ยังคงแปล เขียน และพิมพ์เท่าที่จะทำได้กับโรงพิมพ์ที่มีอยู่[cite: 163].
- แรงใจจากต่างแดน: วารสารของคณะกรรมการฯ เคยพิมพ์จดหมายของเด็กเล็กๆ ที่ป่วยคนหนึ่งที่ส่งเงินจำนวนน้อยๆ เพื่อเก็บไว้ซื้อเครื่องพิมพ์[cite: 163]. (หลักฐานว่างานมิชชันได้รับแรงสนับสนุนจากคนทั่วโลก)
- ผู้ริเริ่มโรงพิมพ์: ศาสนาจารย์ เอ็น. เอ. แมคโดนัล เป็นผู้เริ่มก่อตั้งโรงพิมพ์ดังกล่าวใน ค.ศ. 1861[cite: 164].
- เป็นรูปร่าง: โรงพิมพ์เริ่มก่อตั้งเป็นรูปร่างขึ้นในสิ้นปี ค.ศ. 1861[cite: 164].
- ผลงานน่าทึ่ง: ในวันสิ้นสุดปีงบประมาณ 1 ต.ค. ค.ศ. 1862 มีการพิมพ์งานไปแล้วถึง 588,000 หน้า[cite: 164].
- คุ้มค่าการลงทุน: การพิมพ์งานที่มีจำนวนมากมายอย่างต่อเนื่อง ทำให้สมเหตุสมผลต่อค่าใช้จ่ายในช่วงแรก[cite: 164].
- ที่ตั้งแรกเริ่ม: โรงพิมพ์แห่งแรกตั้งอยู่ใน “ห้องใต้ดินมืดสลัว” ด้านล่างของบ้านหมอสอนศาสนาที่สำเหร่[cite: 164]. (เริ่มต้นจากพื้นที่เล็กๆ และเรียบง่าย)
- ย้ายใหญ่ครั้งที่ 1: ใน ค.ศ. 1892 โรงพิมพ์ย้ายไปยังสถานที่เช่าแห่งใหม่ที่ใหญ่ขึ้นและดีขึ้น บนฝั่งตรงกันข้ามของแม่น้ำ[cite: 164].
- ย้ายใหญ่ครั้งที่ 2: ใน ค.ศ. 1897 โรงพิมพ์ย้ายอีกครั้งไปยังอาคารที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ทำการโรงพิมพ์โดยเฉพาะ และมีโกดังเก็บของ[cite: 164].
- เลี้ยงตัวเองได้: โรงพิมพ์แห่งนี้ “สามารถเลี้ยงดูตัวเองได้มานานแล้ว” และค่าใช้จ่ายต่างๆ มาจากงานพิมพ์[cite: 164]. (เป็นธุรกิจที่ไม่ต้องพึ่งเงินบริจาคอย่างเดียว)
- งานพิมพ์ศาสนา: งานพิมพ์ด้านศาสนากับพระคัมภีร์นับเป็นแสนๆ หน้า โดยที่คณะมิชชันไม่ต้องแบกภาระค่าใช้จ่าย[cite: 164].
- ปรับปรุงตามจำเป็น: โรงพิมพ์ยังสามารถปรับปรุงเครื่องพิมพ์ได้ตามความจำเป็นตลอดเวลา[cite: 164].
- ขายกิจการ: โรงพิมพ์ถูกขายไปใน ค.ศ. 1919 ในราคา 60,000.00 บาท[cite: 164].
- เงินทุนสู่การศึกษา (1): เงิน 30,000.00 บาท จากการขายมอบให้กับโรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย เพื่อใช้ในการสร้างอาคารใหม่[cite: 164].
- เงินทุนสู่การศึกษา (2): เงินอีก 10,000.00 บาท มอบให้กับแผนกภาษาจีนของโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน[cite: 164].
- เหตุผลการขาย: มีโรงพิมพ์เกิดขึ้นมากมายในบางกอกอยู่แล้ว และคณะมิชชันไม่ต้องการใช้หมอสอนศาสนาเต็มเวลาทำงานที่ไม่เกี่ยวข้องกับศาสนาโดยตรง[cite: 164].
- มาตรฐานงานพิมพ์: งานพิมพ์ของโรงพิมพ์เพรสไบทีเรียนยังคงเป็น “บรรทัดฐานของงานพิมพ์ดีๆ ทั้งหมดที่มีอยู่ของสยาม”[cite: 164].
- ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ: ศาสนาจารย์ เจ. บี. ดันแลป, ดี.ดี. ได้รับเครดิตในความสำเร็จของโรงพิมพ์ เพราะพลัง, ทักษะ และความมุ่งมั่นของท่าน[cite: 165].
- ผู้จัดการโรงพิมพ์: ดร.ดันแลป เป็นผู้จัดการโรงพิมพ์ตั้งแต่ ค.ศ. 1891 จนถึง ค.ศ. 1909[cite: 168].
- เปลี่ยนภารกิจ: หลังจาก ค.ศ. 1909 ดร.ดันแลปก็หันไปทำงานเผยแพร่ศาสนาโดยตรงแทน[cite: 168].
⛪ Section 4: โบสถ์แห่งความสามัคคี (The Union Protestant Community)
ชุมชนโปรเตสแตนต์ในกรุงเทพฯ เติบโตขึ้นมากจนต้องมีการสร้างโบสถ์ถาวรสำหรับทุกนิกาย
- ชีวิตใหม่ในชุมชน: ชุมชนโปรเตสแตนต์ในบางกอกมี “บรรยากาศของชีวิตใหม่”[cite: 174].
- ประเพณีพบปะ: มีประเพณีการพบปะเพื่อประกอบพิธีนมัสการพระเจ้าประจำสัปดาห์ในหมู่หมอสอนศาสนาของนิกายต่างๆ มาโดยตลอด[cite: 174].
- ที่นมัสการแรก: ในตอนแรก การประกอบพิธีทำกันตามบ้านของหมอสอนศาสนา โดยสับเปลี่ยนกันไป[cite: 174].
- ขยายสู่ต่างชาติ: ต่อมาชาวต่างชาติอื่นๆ ที่มาบางกอกก็ได้เข้าร่วมพิธีด้วย ทำให้ชุมชนเติบโต[cite: 174].
- ใช้โบสถ์สำเหร่ชั่วคราว: หลังจากนั้น โบสถ์เพรสไบทีเรียนที่สำเหร่ได้ถูกใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธี[cite: 174].
- ชุมชนเติบโต: ชุมชนต่างชาติในบางกอกขยายใหญ่ขึ้นมากนับตั้งแต่การเดินทางมาของหมอสอนศาสนากลุ่มแรกใน ค.ศ. 1861[cite: 174].
- ขอที่ดินจากกษัตริย์: ชุมชนโปรเตสแตนต์ถวายฎีกาต่อรัชกาลที่ 4 เพื่อขอพระราชทานที่ดินเพื่อสร้างโบสถ์ของตนเอง[cite: 174].
- ได้รับพระราชทานที่ดิน: พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานที่ดินให้ตามที่ร้องขอในวันที่ 9 พฤษภาคม ค.ศ. 1861[cite: 174].
- ทำเลดีริมน้ำ: ที่ดินผืนนี้อยู่ติดแม่น้ำ ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของที่ดินซึ่งต่อมาคือบริษัทบอร์เนียวจำกัด[cite: 174].
- ระดมทุน: มีการส่งรายการก่อสร้างออกไปเพื่อขอเงินสนับสนุนจากหลายฝ่าย[cite: 174].
- ผู้ดูแลการก่อสร้าง: คุณมัตตูนและคุณวิลสันได้ให้เวลากับการซื้อวัสดุและควบคุมการก่อสร้าง[cite: 174].
- เงินทุนไม่พอ: เงินทุนที่มีอยู่ไม่พอเพียงสำหรับการสร้างโบสถ์[cite: 174].
- เงินบริจาคจากอังกฤษ: รัฐบาลอังกฤษได้บริจาคเงินส่วนที่เหลือให้[cite: 174].
- เงื่อนไขสำคัญ: รัฐบาลอังกฤษมีข้อแม้ว่าอาคารโบสถ์และสถานที่จะอยู่ภายใต้การควบคุมของสถานกงสุลอังกฤษ[cite: 174].
- พิธีแรก: พิธีนมัสการครั้งแรกในโบสถ์แห่งใหม่นี้จัดขึ้นในวันที่ 2 พฤษภาคม ค.ศ. 1864[cite: 175].
- ผู้ประกอบพิธี: ศาสนาจารย์ เอส. มัตตูน เป็นผู้ประกอบพิธีนมัสการครั้งแรก[cite: 175].
- พระคัมภีร์ที่ใช้: เนื้อหาที่เลือกมาใช้ในพิธีเอามาจากบทเพลงสรรเสริญบทที่ 122[cite: 175].
- เนื้อหาสำคัญ: ข้อความที่เลือกใช้คือ “ข้าพเจ้ามีความยินดี เมื่อเขากล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า ให้เราไปยังพระนิเวศของพระเจ้ากันเถิด”[cite: 176, 177].
- ร่วมพิธีกันเนืองแน่น: มีผู้คนจากชุมชนโปรเตสแตนต์จำนวนมากเข้าร่วมในพิธีครั้งนี้[cite: 178].
- ประเพณีการเทศนา: มีการตกลงให้หมอสอนศาสนาโปรเตสแตนต์ที่อยู่ประจำในบางกอกผลัดกันเทศนา โดยเรียงตามลำดับอักษร[cite: 178].
- ธรรมเนียมที่ยาวนาน: การผลัดกันเทศนาตามลำดับอักษรนี้กลายเป็นประเพณีที่ปฏิบัติกันมาเกือบ 30 ปี[cite: 179].
- เริ่มพิธีแบบอังกฤษ: ใน ค.ศ. 1868 การนมัสการแบบอังกฤษ (แองกลิคัน) เริ่มมีขึ้นที่โบสถ์ยูเนี่ยนโปรเตสแตนต์แห่งนี้[cite: 180].
- การยกเลิกชั่วคราว: ในปีถัดมา มีการตกลงกันที่จะยกเลิกการประกอบพิธีแบบแองกลิคันไว้หนึ่งปี[cite: 180].
- กลับสู่แองกลิคัน: ต่อมาชุมชนโปรเตสแตนต์ตกลงกันใหม่เพื่อให้การประกอบพิธีเป็นแบบแองกลิคันอย่างถาวร[cite: 180].
- หาอนุศาสก: ชุมชนโปรเตสแตนต์ตัดสินใจว่ามีฐานะพอที่จะหา “อนุศาสก” (Chaplain) หรือศาสนาจารย์ประจำของตนเองได้แล้ว[cite: 183].
- อนุศาสกคนแรก: ศาสนาจารย์วิลเลียม กรีนสต๊อก เดินทางมาเป็นอนุศาสกใน ค.ศ. 1894[cite: 183].
- อนุศาสกคนต่อมา: ศาสนาจารย์ ดร.ฮิลยาร์ด เข้ารับตำแหน่งอนุศาสกแทนที่ในภายหลัง[cite: 184].
- อนุศาสกคนสุดท้ายที่ระบุ: ต่อมาก็เป็นศาสนาจารย์ ซี. อาร์. ซิมมอนส์ ของคริสตจักร เอส. พี. จี.[cite: 184].
- อนุสรณ์ถึงผู้จัดการ: มีการติดตั้งแผ่นป้ายอนุสรณ์ในโบสถ์โปรเตสแตนต์ใน ค.ศ. 1877 เพื่อรำลึกถึงคุณไบลท์ ผู้จัดการของบริษัทบอร์เนียว จำกัด[cite: 185].
- โบสถ์หลังใหม่: ชุมชนต่างชาติพร้อมที่จะมีอาคารที่ดีขึ้นและกว้างขวางขึ้น[cite: 185].
- ขายที่ดินเก่า: ที่ดินเดิมที่รัชกาลที่ 4 พระราชทาน ได้รับพระบรมราชานุญาตจากรัชกาลที่ 5 (พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) ให้ขายออกไป[cite: 185].
- การเงินสร้างใหม่: เงินจากการขายที่ดินเก่าและเงินทุนที่รวบรวมได้ถูกนำมาก่อตั้งอาคารหลังใหม่[cite: 185].
- ชื่อใหม่: อาคารหลังใหม่นี้รู้จักกันในนาม คริสตจักรไครสต์เชิช (Christ Church) และเริ่มใช้ใน ค.ศ. 1904[cite: 185].
- ย้ายอนุสรณ์: แผ่นป้ายอนุสรณ์ของคุณไบลท์ถูกย้ายจากโบสถ์เก่าไปยังคริสตจักรไครสต์เชิชด้วย[cite: 185].
- ไม่ใช่โบสถ์อังกฤษ: โบสถ์แห่งนี้มักถูกเรียกว่า “โบสถ์อังกฤษ” แต่เป็นชื่อที่เรียกผิดๆ[cite: 186].
- ความตั้งใจเดิม: โบสถ์แห่งนี้คือ “โบสถ์ยูเนี่ยนโปรเตสแตนต์” มาตั้งแต่แรก สร้างขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของชุมชนโปรเตสแตนต์และผู้พูดภาษาอังกฤษทั้งหมด[cite: 186].
🏗️ Section 5: คริสตจักรเพรสไบทีเรียนถาวร (The Presbyterian’s Own Church)
ควบคู่ไปกับโบสถ์รวมนิกาย (Union Church) หมอสอนศาสนาเพรสไบทีเรียนก็สร้างโบสถ์ถาวรของตนเองด้วย
- โบสถ์ถาวรส่วนตัว: ก่อนจะสร้างโบสถ์ยูเนี่ยน หมอสอนศาสนาเพรสไบทีเรียนได้เริ่มสร้างโบสถ์ถาวรให้กับคริสตจักรของตนเองแล้ว[cite: 187].
- ชะลอการสร้าง: การสร้างโบสถ์ดังกล่าวยังไม่เสร็จสมบูรณ์ เพราะพวกเขาไม่ประสงค์จะขัดขวางการขอเงินบริจาคของโบสถ์โปรเตสแตนต์ (ยูเนี่ยน) ที่กำลังดำเนินการอยู่[cite: 187]. (แสดงถึงการทำงานร่วมกันและให้เกียรติซึ่งกันและกัน)
- เปิดใช้: โบสถ์เพรสไบทีเรียนถาวรเปิดใช้ในวันอาทิตย์สุดท้ายของเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1862[cite: 187].
- สองภาษาในพิธี: พิธีเปิดโบสถ์แห่งนี้ประกอบพิธีทั้งภาษาอังกฤษและภาษาสยาม[cite: 187].
- โบสถ์อิฐที่สำเหร่: สองปีต่อมา มีการก่อตั้ง “โบสถ์ที่สร้างด้วยอิฐ” ขึ้นที่สำเหร่[cite: 190].
- การซ่อมแซมใหญ่: ใน ค.ศ. 1910 อาคารโบสถ์ที่สำเหร่ต้องซ่อมแซมและขยายให้ใหญ่ขึ้น[cite: 190].
- รื้อถอนและสร้างใหม่: อาคารหลังเก่าจึงถูกรื้อถอนลง เพื่อสร้างอาคารโบสถ์หลังใหม่บนที่เดิม[cite: 190].
- พลังศรัทธาชาวสยาม: การสร้างอาคารโบสถ์ใหม่นี้ มาจากเงินสนับสนุนที่ชาวสยามที่เป็นคริสตศาสนิกชนได้ส่งรายการก่อสร้างออกไปเพื่อขอ[cite: 190].
🌟 Section 6: คนสยามผู้เป็นจุดเปลี่ยน (Siamese Pioneers and Converts)
การกลับใจและเติบโตของคนสยามถือเป็นผลงานที่ต้องใช้ความพากเพียรยาวนาน
- ความสุขหลังรอคอย: ในปี ค.ศ. 1867 มีผู้เข้าพิธีรับบัพติศมา (รับศีลจุ่ม) สามคน ซึ่งเป็น “โอกาสแห่งความสุขโดยแท้จริง” ของหมอสอนศาสนาสูงอายุ[cite: 192].
- เมล็ดพันธุ์ที่งอกงาม: การรับบัพติศมานี้เปรียบเหมือน “เมล็ดพืช” ที่พวกเขาหว่านไว้และใช้เวลายาวนานจึงจะเห็นผล[cite: 192].
- คนดังที่กลับใจ (1): หนึ่งในสามคนนั้นคือ นายเทียน (ต่อมาคือ พระยาสารสินฯ)[cite: 192].
- แพทย์สยามคนแรก: นายเทียนเดินทางไปสหรัฐอเมริกา และจบการศึกษาจากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ใน ค.ศ. 1871[cite: 192].
- หัวหน้าโรงพยาบาลรัฐบาล: ใน ค.ศ. 1880 ดร.เทียนได้เป็นหัวหน้าโรงพยาบาลรัฐบาลสยามแห่งแรกที่ดำเนินงานตามแบบต่างชาติ[cite: 192].
ch6
Section 1: การศึกษาดั้งเดิมและการกำเนิดโรงเรียนหญิง (Traditional Education and the Birth of a Girls’ School)
- ระบบการศึกษาสำหรับเด็กชายมีมาอย่างยาวนานในสยาม[cite: 142].
- การศึกษาของเด็กชายมักจะผูกพันอยู่กับ วัด[cite: 142].
- การส่งเด็กชายเข้าวัดเพื่อปรนนิบัติรับใช้พระภิกษุถือเป็นการทำบุญอย่างหนึ่ง[cite: 142].
- เด็กชายเหล่านี้จะได้รับการสอนให้อ่านและคัดลอก พระไตรปิฎก[cite: 142].
- นอกจากนี้ยังได้รับความรู้เบื้องต้นทางด้าน เลขและวิทยาศาสตร์ บ้าง[cite: 142].
- พระภิกษุบางรูปมีชื่อเสียงเป็นพิเศษในฐานะ นักการศึกษา ภายในบริเวณวัด[cite: 142].
- ยกตัวอย่างการศึกษาชาย: คิดง่ายๆ ว่า วัดคือโรงเรียนอนุบาล/ประถม ดั้งเดิมที่สอนทั้งเรื่องธรรมะและทักษะชีวิตเบื้องต้น[cite: 142].
- สำหรับเด็กหญิง ขนบประเพณีสยามคือการส่งบุตรีไปอาศัยในบ้านของผู้มีบรรดาศักดิ์สูงกว่า[cite: 143].
- การส่งบุตรีเข้าบ้านผู้มีบรรดาศักดิ์ถือเป็นวิธี “เสาะหาโอกาสดีๆ” ให้กับบุตรี[cite: 143].
- การศึกษาสำหรับเด็กหญิงยังไม่ถูกยอมรับในคุณค่าและถูกมองข้ามความสำคัญไปอย่างมาก[cite: 143].
- หมอสอนศาสนา ได้เริ่มเปิดโรงเรียนชายขึ้นทันทีที่พวกเขาใช้ภาษาไทยได้[cite: 142].
- สตรีชาวคริสตจักรอเมริกัน เริ่มเห็นความสำคัญของการศึกษาสตรีในสยาม[cite: 143].
- เด็กหญิง 2-3 คนแรกได้มีโอกาสเข้าไปเยือนบ้านของหมอสอนศาสนา[cite: 143].
- เด็กหญิงเหล่านี้เริ่มรวมตัวกันและกลายเป็น แกนกลางของโรงเรียนหญิง ในเวลาต่อมา[cite: 143].
- ในปี ค.ศ. 1866 มีข้อเสนอให้เปิดศูนย์พันธกิจย่อยใกล้บริเวณ วังหลัง[cite: 144].
- สี่ปีต่อมา (ประมาณ ค.ศ. 1870) คุณจอร์จจึงซื้อที่ดินเพื่อเริ่มสร้างอาคาร[cite: 144].
- อาคารที่สร้างเป็นอาคารอิฐสองชั้นขนาด 6 ห้อง ซึ่งนับว่าใหญ่โตมากสำหรับสมัยนั้น[cite: 144].
- คุณจอร์จและภรรยาต้องกลับอเมริกาเพราะปัญหาด้านสุขภาพ ก่อนอาคารจะเสร็จ[cite: 144].
- ดร.เฮาส์ และภรรยา (มิสซิสเฮาส์) ได้รับแต่งตั้งให้ดูแลการก่อสร้างต่อจนเสร็จ[cite: 144].
- มิสซิสเฮาส์ได้จัดทำห้องชั้นบนของอาคารให้เป็น โรงเรียนหญิง[cite: 144].
- มิสซิสเฮาส์เดินทางกลับอเมริกาเพื่อฟื้นฟูสุขภาพ และเรี่ยไรเงินทุนเพื่อก่อสร้างอาคารและซื้อเครื่องมือใหม่[cite: 144].
- ในปี ค.ศ. 1875 โรงเรียนประจำหญิงแห่งแรกในสยามก็เริ่มเปิดตัวขึ้น[cite: 147].
- โรงเรียนนี้มีชื่อเต็มว่า “โรงเรียนแฮร์เรียต เอ็ม. เฮาส์ ที่วังหลัง” ตามชื่อของภรรยา ดร.เฮาส์[cite: 141, 168].
- นักเรียนกลุ่มแรกมีประมาณ 10–15 คน ซึ่งเคยเป็นนักเรียนที่หมอสอนศาสนาสอนที่บ้านมาแล้ว[cite: 147].
- โรงเรียนได้รับความไว้วางใจจาก ชนชั้นสูงสุด ที่ส่งลูกหลานมาศึกษา[cite: 147].
Section 2: ผู้จัดการที่มาแล้วไป… และยอดคุณครูผู้กอบกู้ (The High Turnover and The Lifesavers)
- อุปสรรคแรกๆ ของโรงเรียนคือความแออัดคับแคบ และโอกาสการขยายตัวที่น้อย[cite: 147].
- ในปี ค.ศ. 1876 มิสอะราเบลล่า แอนเดอร์สัน ครูคนแรก ได้แต่งงานและย้ายไปประเทศจีน[cite: 149].
- มิสเอส. ดี. กริมสเตท เข้ามาทำหน้าที่แทน โดยมีนักเรียนเพิ่มขึ้นเป็น 20 คน[cite: 150].
- ในปี ค.ศ. 1877 มิสซิสเฮาส์มีสุขภาพทรุดโทรมจนต้องจากสยามไป โดยต้องโอนงานที่รักยิ่งให้ผู้อื่นด้วยความไม่เต็มใจ[cite: 150].
- ก่อนกลับ ดร.เฮาส์และภรรยาได้พาเด็กชาย 2 คนไปศึกษาต่อ คือ ครูบุญอิต และ นายแก่น (ต่อมาคือพระยาวินิจ)[cite: 150].
- นายแก่น (พระยาวินิจ) เมื่อกลับมาได้รับตำแหน่งสำคัญในหน่วยงานด้านการศึกษาของรัฐบาล[cite: 150].
- ในปีเดียวกัน (ค.ศ. 1877) มิสกริมสเตทก็เดินทางกลับบ้านเกิดเมืองนอน[cite: 153].
- มิสเจนนี คอร์เซน มาทำหน้าที่ต่อ แต่ก็แต่งงานในปีถัดมา[cite: 153].
- สามีของมิสคอร์เซน (ศาสนาจารย์ แมคคอลีย์) เป็นนักการศึกษาที่ดีเยี่ยม แต่ก็ต้องจากสยามไปญี่ปุ่นเพราะสุขภาพไม่ดี[cite: 154].
- ที่ญี่ปุ่น ศาสนาจารย์แมคคอลีย์เป็นคนสำคัญที่ช่วยก่อตั้ง เมจิ กาคา อิน (Meiji Gakuin)[cite: 154].
- มิสเบลล์ คอลด์เวลล์ มาถึงในปี ค.ศ. 1878 และเข้ารับตำแหน่งผู้จัดการ[cite: 155].
- ในตอนนั้นโรงเรียนมีนักเรียน 29 คน โดยมีรายได้เพียง 40.00 เหรียญต่อรายจ่าย 490.00 เหรียญต่อปี[cite: 155].
- ภายในเวลา 10 ปี (ค.ศ. 1875-1885) โรงเรียนมีผู้จัดการถึง 8 คน![cite: 157].
- ผู้จัดการต่างชาติเหล่านี้มาพร้อมแผนใหม่ๆ แต่ ไม่มีใครมีความรู้เกี่ยวกับขนบประเพณีและภาษาของสยามเลย[cite: 157].
- ยกตัวอย่างความวุ่นวาย: ลองนึกภาพบริษัทที่เปลี่ยน CEO ทุกปี และ CEO คนใหม่ก็พูดภาษาไทยไม่ได้เลย… งานคงยุ่งน่าดู![cite: 157].
- บุคคลสำคัญที่สุดที่ทำให้โรงเรียนรอดมาได้คือ นางตั๋วน มารดาของครูบุญอิต[cite: 157].
- มิสซิสเฮาส์ได้แต่งตั้งให้นางตั๋วนเป็นทั้ง ครูและแม่บ้าน[cite: 157].
- นางตั๋วนเป็นสตรีที่พิเศษ มีความภูมิฐาน ฉลาดเฉลียว และทำงานอย่างมุ่งมั่นไม่ย่อท้อ[cite: 157].
- นางตั๋วนทำให้นักเรียนรู้สึกมั่นคงและเหนียวแน่นกับโรงเรียน[cite: 157].
- นักเรียนรุ่นแรกๆ ถูกดูแลเรื่องอาหาร เสื้อผ้า และการศึกษา โดยมีสัญญาว่าจะเรียน 3-5 ปี[cite: 157].
- นักเรียนเหล่านี้เก่งทั้งเรื่องเย็บปักถักร้อย ภาษาอังกฤษพื้นฐาน และการดูแลครอบครัว/บ้านเรือน[cite: 157].
- นักเรียนช่วยทำงานทุกอย่างในโรงเรียน แม้กระทั่งการไปซื้อของที่ตลาด (ถือเป็นการฝึกทักษะชีวิต)[cite: 157].
- ในปลายปี ค.ศ. 1885 นางตั๋วนขอถอนตัวออกจากงานเพราะเหน็ดเหนื่อยและอ่อนแรง[cite: 163].
- เมื่อนางตั๋วนออกไป นักเรียนที่มีอายุและผู้ช่วยก็ลาออกตามไปด้วย[cite: 163].
- จุดจบของโรงเรียนดูเหมือนจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ในเวลานั้น[cite: 163].
Section 3: การปรับตัวทางธุรกิจและการสร้างบุคลากรไทย (Business Adaptation and Siamese Personnel)
- ในปี ค.ศ. 1886 มิสแมรี เจ. เฮนเดอร์สัน และ มิสเอ็ดนา เอส. โคล เข้ามาร่วมงานและพยายามแก้ปัญหาวิกฤต[cite: 165].
- พวกเธอต้องเผชิญกับปัญหาใหญ่ เช่น ความรู้ภาษาสยามที่น้อยมาก และอาคารที่ต้องซ่อมแซม[cite: 165].
- โรงเรียนยากจนมาก มีรายได้เพียง เก้าบาทต่อเดือน เท่านั้น ต้องทำงานอย่างกระเบียดกระเสียร[cite: 165].
- พวกเขาได้เรียนรู้ว่าคนสยาม “ไม่ได้ให้ความสนใจต่อสิ่งที่เสียค่าใช้จ่ายน้อย”[cite: 165, 169].
- ยกตัวอย่างหลักคิด: คนสยามมองว่าของถูกไม่ดี! โรงเรียนจึงต้องปรับให้มีค่าใช้จ่าย[cite: 169].
- โรงเรียนจึงเปลี่ยนนโยบายให้ผู้สมัครใหม่ต้องจ่ายค่าเล่าเรียน ห้าบาทต่อเดือน เพื่อดึงดูดความสนใจ[cite: 169].
- ในเทอมแรกหลังเปลี่ยนกฎ มีนักเรียนหญิง 16 คน[cite: 170].
- ครูญ่วน เตียงหยก ได้รับคัดเลือกให้เป็นผู้ช่วยครูชาวอเมริกันที่ไว้ใจได้[cite: 164].
- ครูญ่วนมีความอดทน นิ่มนวล และมุ่งมั่น ทำงานให้โรงเรียนถึงสิบปี[cite: 164].
- แม่สร้อย (อดีตครูผู้ช่วย) และ แม่ทิม เป็นครูคนสำคัญในช่วงเวลานั้น[cite: 170, 171].
- แม่ทิมแสดงความสามารถด้านการบริหารถึง 12 ปี จนมีชื่อเสียงในแวดวงโรงเรียนสตรีของรัฐบาล[cite: 171].
- นักเรียนหญิง 4 คนที่เรียนในระดับสูง (เทียบเท่าประถมปีที่สอง) ถูกฝึกเพื่อเป็น ครูในอนาคต[cite: 172].
- แม่สุวรรณ แม่แจง และแม่พลอย ตกลงที่จะมาเป็นครูหลังสมรส ซึ่งเป็นความสุขของโรงเรียน[cite: 172].
- แม่สุวรรณ เป็นครูที่ฉลาดปราดเปรื่องและได้ดำรงตำแหน่ง ครูใหญ่[cite: 175].
- แม่สุวรรณมีส่วนสำคัญในการหล่อหลอมโรงเรียนถึง 20 ปี[cite: 175].
- ท่านสามารถพบปะกับบิดามารดาของนักเรียนและสร้างมิตรภาพได้[cite: 175].
- แม่สุวรรณช่วยให้คำแนะนำและอธิบายขนบประเพณีสยามให้กับครูต่างชาติ ทำให้โรงเรียนฝ่าฟันอุปสรรคได้[cite: 175].
- แม่เต่า ทำงานเป็นครูของโรงเรียนอย่างซื่อสัตย์กว่า 10 ปี ก่อนจะไปทำงานให้กับโรงเรียนราชินี[cite: 176].
- โรงเรียนเคยจัด ตลาดนัด ขายงานเย็บปักถักร้อยของนักเรียนพร้อมกับตุ๊กตาจากอเมริกา[cite: 177].
- การจัดตลาดนัดประสบความสำเร็จอย่างมาก ทำให้ปัญหาความยากจนของโรงเรียนค่อยๆ หมดไป[cite: 177].
- โรงเรียนได้รับโต๊ะอัตโนมัติน่ารัก 24 ตัวจากอเมริกาเพื่อใช้ในการเรียน[cite: 177].
Section 4: พระราชูปถัมภ์และการขยายตัวครั้งใหญ่ (Royal Patronage and Major Expansion)
- ในปี ค.ศ. 1888 คริสตจักรอนุมัติให้โรงเรียนใช้และครอบครอง ที่ดินทั้งหมดของวังหลัง[cite: 178].
- การอนุมัติที่ดินถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญสำหรับการขยายโรงเรียน[cite: 178].
- ในช่วงเวลาใกล้กัน เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้โรงเรียนเป็นที่ยอมรับสูงสุด[cite: 179].
- พระบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้านราธิปประพันธ์พงศ์ ทรงเป็นเชื้อพระวงศ์องค์แรกที่ทรงอุปถัมภ์โรงเรียน[cite: 179].
- พระองค์ทรงให้พระธิดาองค์ใหญ่คือ หม่อมเจ้าหญิงพันธุ์พิมาน มาศึกษากับทางโรงเรียน[cite: 179].
- เหตุการณ์นี้ช่วย เปลี่ยนแปลงความรู้สึกเกี่ยวกับการศึกษาสตรี และเป็นจุดเริ่มต้นของยุคใหม่[cite: 179].
- หลังจากนั้น ลูกหลานของเชื้อพระวงศ์และขุนนางก็เริ่มเข้ามาเป็นนักเรียนมากขึ้น[cite: 183].
- โรงเรียนได้รับการยอมรับในฐานะโรงเรียนสำหรับ ชนชั้นสูงและชนชั้นที่ต่ำลงมา[cite: 183].
- เกร็ดน่ารักปนสยอง: หม่อมเจ้าหญิงพันธุ์พิมานเคยประสบอุบัติเหตุถูกพระพี่เลี้ยงใช้ กรดคาร์บอลิก (คิดว่าเป็นน้ำหอม) ประพรมพระวรกาย[cite: 184].
- แม้จะเจ็บปวดอย่างรุนแรง แต่เจ้าหญิงองค์น้อยก็ทรงพยายามอย่างกล้าหาญที่จะอดทน[cite: 184].
- พระอัยยิกา (ยาย) ของพระองค์เสด็จมาเพื่อตัดสินใจว่าจะทำอย่างไร แต่เจ้าหญิงทรงตัดสินพระทัยเองว่าจะประทับอยู่ที่โรงเรียนต่อ[cite: 184, 185].
- ในปี ค.ศ. 1900 เจ้าหญิงพระองค์นี้สิ้นชีพตักษัยด้วยโรคอหิวาตกโรค สร้างความเศร้าโศกแก่คณะครูอย่างมาก[cite: 187].
- บรรดาเจ้าจอมในพระบรมมหาพระราชวังได้ส่ง “ข้าหลวง” ที่ยังมีอายุน้อยมาเรียนด้วย[cite: 188].
- ช่วงทศวรรษที่สอง โรงเรียนมีการพัฒนาหลายด้าน ทั้งจำนวนนักเรียนเต็มจำนวนและสามารถ เลี้ยงดูตัวเองได้[cite: 191].
- เพื่อนชาวสยามได้บริจาคเงินให้ซื้อที่ดินที่อยู่ติดกับโรงเรียนเพิ่มเติม[cite: 192].
- มีการสร้างอาคารเพิ่มสำหรับเป็นห้องเรียน ห้องอาหาร และสิ่งจำเป็นอื่นๆ บนที่ดินที่ขยาย[cite: 192].
- มีการสร้างเขื่อนกั้นน้ำ ท่าเรือใหม่ และกำแพงสูงล้อมรอบพื้นที่โรงเรียน[cite: 192].
Section 5: เหตุการณ์สำคัญระดับชาติและผลกระทบ (Key National Events and Impact)
- มีงานแสดงเพื่อเฉลิมฉลอง 100 ปีของกรุงเทพฯ ในฐานะราชธานี[cite: 158].
- งานเฉลิมฉลองนี้จัดขึ้นเพื่อแสดงถึงความเจริญก้าวหน้าของชาติ[cite: 158].
- โรงเรียนถูกขอให้จัดนิทรรศการงาน เย็บปักถักร้อย[cite: 162].
- นิทรรศการนี้ได้รับพระบรมราชานุญาตให้ใช้พื้นที่ของสมเด็จพระบรมราชินีในท้องพระโรง[cite: 162].
- พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ทรงสนพระทัยและพระราชทานเงิน ซื้อผลงานทั้งหมด[cite: 162].
- รัชกาลที่ 5 ยังทรงพระราชทาน เหรียญเงิน ให้แก่โรงเรียนอีกด้วย[cite: 162].
- โศกนาฏกรรมปี ค.ศ. 1880 การสิ้นพระชนม์ของ สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ (พระนางเรือล่ม)[cite: 193].
- การสิ้นพระชนม์พร้อมพระธิดาสององค์ เป็นแรงกระตุ้นสำคัญต่อ การศึกษาสตรี ในราชอาณาจักร[cite: 193].
- มีการสร้างอาคารอนุสรณ์ที่งดงาม 2 หลัง อุทิศให้กับการศึกษา ตามพระราชประสงค์เดิมของพระนางสุนันทาฯ[cite: 193].
- มีการสร้างโรงเรียนสตรีเพื่อเป็นอนุสรณ์แด่พระราชินี ซึ่งต่อมาเป็นที่รู้จักกันในนาม โรงเรียนราชินี[cite: 208].
- วิกฤตการณ์ทางการเมืองปี ค.ศ. 1893 สยามต้องลงนามในสนธิสัญญายอมรับการลบหลู่จากฝรั่งเศส[cite: 194].
- ในปี ค.ศ. 1898 รัชกาลที่ 5 เสด็จประพาสยุโรปเป็นครั้งแรก[cite: 198].
- ทรงแต่งตั้งให้ สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี ดำรงตำแหน่ง ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์[cite: 198].
- ความสำเร็จในการบริหารประเทศของสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรีช่วยกระตุ้นให้ สตรีของราชอาณาจักรก้าวไปข้างหน้า[cite: 198].
- รัฐบาลเริ่มเปิดโรงเรียนไปกลับหลายโรงเรียนในกรุงเทพฯ และสนับสนุนการศึกษามากขึ้น[cite: 198].
- นักเรียนที่จบจากโรงเรียนวังหลังจึงกลายเป็น ที่ต้องการอย่างยิ่ง เพื่อให้ไปสอนในโรงเรียนใหม่ของรัฐบาล[cite: 198, 204].
- ยกตัวอย่างความต้องการครู: นักเรียนที่จบไปเล่าว่า ข้าหลวง สนับสนุนให้เธอเปิดโรงเรียนสำหรับลูกข้าราชการทันทีที่ทราบว่าเธอจบจากวังหลัง[cite: 202, 203].
Section 6: แผนการพัฒนายุคใหม่ของสยาม (Siam’s Modernization Plans)
- พระเจ้าอยู่หัวทรงส่งพระราชโอรสไปศึกษาต่อยังโรงเรียนที่มีชื่อเสียงของอังกฤษและยุโรป[cite: 205].
- มีการสอบแข่งขันเพื่อให้ข้าราชการหนุ่มจำนวนมากเดินทางไปศึกษาต่อต่างประเทศด้านวิทยาการต่างๆ[cite: 205].
- การเสด็จกลับจากยุโรปของพระเจ้าอยู่หัวนำแผนการใหม่ๆ มามากมายเพื่อพัฒนาประเทศ[cite: 206].
- มีการขยายเส้นทาง รถไฟ และสร้าง ถนนใหม่ ที่ดีขึ้น[cite: 206].
- มีการวางแผนสร้าง วิทยาลัยเฉพาะทาง ในสาขาสำคัญ เช่น นิติศาสตร์ เกษตรศาสตร์ การทำแผนที่ ชลประทาน และวิศวกรรมโยธา[cite: 206].
- มีการวางแผนสร้างวิทยาลัยในสาขา การแพทย์และการอบรมนางพยาบาล[cite: 206].
- มีการวางแผนสร้าง มหาวิทยาลัย แต่ก็ยังไม่ได้ก่อตั้งเป็นรูปร่างในเวลานั้น[cite: 206].
- มีการก่อตั้งโรงพยาบาลแห่งใหม่ และโรงพยาบาลเดิมก็ได้รับการสนับสนุนและเครื่องมือที่ดีขึ้น[cite: 206].
- มีการพัฒนาที่ดินผืนใหญ่ทางตอนเหนือของกรุงเทพฯ ให้เป็น สวนสาธารณะที่งดงาม[cite: 207].
- ในสวนสาธารณะแห่งนี้ มีการสร้างพระราชวังของพระเจ้าแผ่นดิน[cite: 207].
- มีการสร้าง ถนนกว้างมีร่มไม้แบบปารีส เพื่อเชื่อมสวนสาธารณะกับพระราชวังหลวง[cite: 207].
- เส้นทางสัญจรนี้ถือเป็นเส้นทางที่สวยที่สุดเท่าที่คนสยามเคยมีมา[cite: 207].
- โดยสรุปแล้ว บรรยากาศทั้งหมดของสยามในช่วงเวลานั้นเต็มไปด้วยการพัฒนาครั้งใหญ่[cite: 207].
ch7
📌 ส่วนที่ 1: การก่อตั้งและทำเลที่ตั้งของ “นครแห่งเพชร”
- จุดเริ่มต้น: ศูนย์พันธกิจเพชรบุรีก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1861 [cite: 177] ซึ่งถือเป็นช่วงต้นของการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ในสยาม
- สถานะสำคัญ: เป็นจุดเริ่มต้นของการ “ขยายงาน” ของคณะมิชชันเพรสไบทีเรียนที่ออกนอกบางกอก (กรุงเทพฯ) เป็นครั้งแรก[cite: 178].
- ความสวยงาม: เพชรบุรีถูกยกย่องว่าเป็นเมืองที่น่าอยู่ที่สุดแห่งหนึ่งในสยาม[cite: 178].
- ระยะทาง: เมืองนี้ตั้งอยู่ทางตะวันตกของบางกอกไปประมาณ 80 ไมล์[cite: 178].
- ทัศนียภาพ: พื้นที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยท้องทุ่งชุ่มน้ำ และมีต้นตาลโตนดลำต้นสูงขึ้นอย่างหนาแน่น[cite: 178].
- ภูมิทัศน์โดดเด่น: มีทิวเขาเตี้ยๆ และมีเขาหนึ่งลูกตั้งตระหง่านอยู่เหนือตัวเมือง[cite: 178].
- สถานที่สำคัญของชาติ: พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) ทรงโปรดให้สร้างพระราชวังและวัดบนเขาลูกนี้[cite: 178].
- จุดเด่นอีกแห่ง: มีเขาอีกลูกหนึ่งที่มี “ถ้ำเพชรบุรี” ที่มีชื่อเสียง[cite: 178].
- ความหมายของชื่อเมือง: “เพชรบุรี” หมายถึง “นครแห่งเพชร”[cite: 178].
- ที่มาของชื่อ: มาจากการที่เคยมีผู้พบเพชรในแม่น้ำเพชรบุรี[cite: 178].
- สภาพความเป็นอยู่: อากาศบริเวณนี้เย็นสบายและบ้านเมืองเจริญมั่งคั่ง[cite: 178].
🚧 ส่วนที่ 2: อุปสรรคเบื้องต้นและการสนับสนุนจากฝ่ายราชการสยาม
- การปรึกษาหารือ: หมอสอนศาสนาได้ปรึกษาหารือกันหลายครั้งในบางกอกเกี่ยวกับโอกาสในการตั้งศูนย์พันธกิจที่เพชรบุรี[cite: 179].
- ผู้ถูกแต่งตั้งคนแรก: ดร.เฮาส์ กับภรรยา ถูกแต่งตั้งให้มารับผิดชอบการตั้งศูนย์ฯ[cite: 179].
- อุปสรรคที่ไม่คาดคิด (ตัวอย่าง): ดร.เฮาส์เดินทางมาเตรียมงานแล้ว แต่ประสบอุบัติเหตุ ตกจากหลังม้า อาการรุนแรงจนไม่สามารถทำหน้าที่ได้[cite: 179].
- ความพยายามของคนอื่นๆ: คุณแมคกิลวารีกับคุณวิลสัน ต่างก็เคยตั้งใจรับงานนี้แต่ไม่สามารถทำได้ตามแผน[cite: 179].
- ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เริ่มงานได้ (ข้อ 1): ท่านผู้ทำหน้าที่แทนข้าหลวง คือ พระเพ็ชรพิสัยศรีสวัสดิ์ (ต่อมาคือ เจ้าพระยาภานุวงษ์มหาโกษาธิบดี) ได้แสดงความกระตือรือร้นและต้องการให้หมอสอนศาสนามา[cite: 183].
- เหตุผลส่วนตัวของข้าหลวง: ท่านต้องการให้บุตรชายมีโอกาส เรียนภาษาอังกฤษ[cite: 183].
- การสนับสนุนจากข้าหลวง: ท่านจึงได้เสนอ ที่ดิน ให้ก่อตั้งโรงเรียนเพื่อเป็นแรงจูงใจ[cite: 183].
- ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เริ่มงานได้ (ข้อ 2): ทางมิชชันได้รับบุคลากรสนับสนุนเพิ่ม[cite: 184].
- ทีมผู้บุกเบิก: บุคคลที่เริ่มงานสำคัญ ได้แก่ ศาสนาจารย์ เอส. จี. แมคฟาร์แลนด์, ศาสนาจารย์ เอ็น. เอ. แมคโดนัล, ภรรยาของทั้งสองท่าน, และมิสซิสแดลเนียล แมคกิลวารี[cite: 184, 185].
- ความกระตือรือร้นของทีม: ทั้งสี่คนต่างก็กระตือรือร้นที่จะได้รับมอบหมายให้ไปทำงานที่ศูนย์พันธกิจแห่งใหม่นี้[cite: 186].
✨ ส่วนที่ 3: “นายก้อน” อัญมณีก้อนแรกของการเผยแพร่ศาสนา
- เรื่องราวสุดมหัศจรรย์: ภายในเดือนแรกที่ศูนย์ฯ เปิดขึ้น หมอสอนศาสนารายงานเรื่องราวของชายชาวสยามคนหนึ่งชื่อ “นายก้อน”[cite: 187, 188].
- ศรัทธาที่มาจากการอ่าน: นายก้อนเป็นคนที่มีศรัทธาในพระเจ้ากับพระเยซูคริสต์ ทั้งๆ ที่ยังไม่เคยพบหมอสอนศาสนาหรือคริสตศาสนิกชนแม้แต่คนเดียว[cite: 188].
- ฉายา: เขาถูกเรียกว่าเป็น “อัญมณีก้อนแรก” ที่พบใน “นครแห่งเพชร”[cite: 188].
- คัมภีร์ที่ใช้: นายก้อนเปลี่ยนศาสนาด้วยการอ่านพระคัมภีร์เพียง 3 เล่ม คือ พระกิตติคุณยอห์น, พระธรรมกิจการของอัครทูต, และพระธรรมโรม เท่านั้น[cite: 188].
- วิธีการอ่าน: ในการอ่านพระธรรมดังกล่าว นายก้อนทำด้วยการ ท่องจำเกือบทั้งหมด[cite: 188].
- ความจำอันน่าทึ่ง: เขาสามารถท่องข้อพระคัมภีร์ของพระธรรมดังกล่าวได้ทั้งหมดโดยไม่ขาดตกบกพร่องเลย[cite: 188].
- การสอนในครอบครัว: เขายังสอนบุตรชายตัวเล็กๆ ให้อธิษฐานพระเจ้าและท่องบัญญัติสิบประการ[cite: 188].
- ความต้องการเรียนรู้: เขารู้สึกยินดีที่ได้พบหมอสอนศาสนาและใคร่จะมาพักอาศัยอยู่ด้วยเพื่อศึกษาบทคำสอนให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น[cite: 188].
- ความเสียสละ: นายก้อนต้องการช่วยสอนศาสนาและแจกจ่ายหนังสือ โดยไม่ต้องการค่าตอบแทนใดๆ[cite: 188].
- ฐานะดี: เขามีเงินอยู่หลายร้อยบาทและไม่ต้องการเงินอีก (แสดงให้เห็นว่าศรัทธาไม่ได้มาจากความยากจน)[cite: 188].
- ความมั่นคงในศรัทธา (ตัวอย่าง): เขายืนยันต่อมิตรสหายกลุ่มใหม่ว่าจะไม่มีวันละทิ้งความเชื่อมั่นในพระเยซูคริสต์อย่างเด็ดขาด[cite: 188].
- สมาชิกอย่างเป็นทางการ: นายก้อนไม่เคยเข้าเป็นสมาชิกของคริสตจักรอย่างเป็นทางการ[cite: 191].
- สมาชิกคนแรกของคริสตจักรเพชรบุรี: คนสยามคนแรกที่ได้รับเกียรติเป็นสมาชิกอย่างเป็นทางการอีกสองปีต่อมาคือ “นายขาว”[cite: 191].
🛡️ ส่วนที่ 4: สงครามกลางเมืองอเมริกา และการทำงานร่วมกันอย่างมืออาชีพ
- ผลกระทบข้ามโลก: สงครามกลางเมืองอเมริกันมีผลกระทบต่อหมอสอนศาสนากลุ่มเล็กๆ ที่อยู่ห่างจากเหตุการณ์ไปถึงครึ่งโลก[cite: 192, 193].
- ฝ่ายใต้: คุณแมคกิลวารีมาจากรัฐนอร์ธแคโรไลนา และ สนับสนุนฝ่ายใต้ อย่างแข็งขัน[cite: 193].
- ฝ่ายเหนือ: คุณแมคฟาร์แลนด์กับภรรยามาจากรัฐเพนซิลเวเนียตะวันตก และมีความรู้สึกเป็น ฝ่ายเหนือ อย่างเข้มข้น[cite: 193].
- การรับข่าวสาร: ไปรษณีย์จะมาถึงพวกเขาเพียงเดือนละครั้ง[cite: 193].
- การอ่านข่าวสงคราม: แต่ละฝ่ายจะปิดบ้านของตนเพื่ออ่านจดหมาย/วารสาร และต่างก็อ่านข่าวสงครามอย่างกระตือรือร้น[cite: 193].
- ความอดกลั้นที่น่าทึ่ง (ตัวอย่าง): เมื่อมาพบกัน พวกเขาไม่กล้าพูดถึงเรื่องสงครามทั้งๆ ที่ต่างก็ครุ่นคิดอยู่เต็มอก[cite: 193].
- ความสามัคคีในการทำงาน: บุคคลเหล่านี้ใช้ชีวิตและทำงานหนักร่วมกันอย่างใกล้ชิดตลอดเวลาที่สงครามกลางเมืองยังคงอยู่ โดยที่ไม่มีการขัดแย้งกันแม้แต่คำเดียว[cite: 194].
- หัวข้อสนทนาที่ปลอดภัย (ตัวอย่าง): เพื่อทำลายความเงียบในวงสนทนาที่ตึงเครียด คุณแมคกิลวารีเลือกที่จะถามถึง “หนี้สินที่อังกฤษก่อขึ้น” แทนเรื่องสงคราม[cite: 193, 194].
📚 ส่วนที่ 5: งานด้านการศึกษาและการพัฒนาสตรี
- การพัฒนาการศึกษา: งานด้านการศึกษาพัฒนาอย่างรวดเร็ว เนื่องจากได้รับการสนับสนุนและอุปถัมภ์จากผู้รักษาการณ์ข้าหลวง[cite: 196].
- อาคารเรียนหลังแรก: เป็นอาคารขนาดเล็ก ตั้งอยู่ด้านหน้าของที่ดิน[cite: 196].
- ลักษณะอาคาร: มีพื้นไม้สักยกสูง 3 ฟุต มีกำแพงก่ออิฐ 1 ด้าน กำแพงไม้ไผ่ 3 ด้าน และหลังคามุงจาก[cite: 196].
- การใช้งานคู่กัน: อาคารหลังนี้ใช้เป็น โบสถ์แห่งแรก ไปด้วยในตัว[cite: 196].
- ผู้ดูแล: โรงเรียนเปิดทำการภายใต้การดูแลของมิสซิสแมคฟาร์แลนด์[cite: 196].
- การวางตัวอย่าง: การสมัครเข้าเรียนของบุตรชายท่านข้าหลวง เป็นการวางตัวอย่างที่ดีให้ข้าราชการและบุคคลทั่วไปปฏิบัติตาม[cite: 196].
- ความท้าทายในการสอนสตรี: การสอนสตรีและเด็กผู้หญิงเป็นไป ช้ากว่าและพัฒนายากกว่า[cite: 203].
- อุปสรรคการเรียน: ผู้หญิงส่วนใหญ่มีภาระงานบ้าน, ร้านค้า, และงานในทุ่งนา ทำให้การศึกษาไม่ดึงดูดใจพวกเขา[cite: 203].
- วิธีสร้างแรงจูงใจ (ตัวอย่าง): มิสซิสแมคฟาร์แลนด์ใช้วิธี “จ่ายชดเชยเวลา” ที่พวกเขามาเข้าโรงเรียน[cite: 203].
- งานฝีมือที่สอน: นอกจากสอนหนังสือแล้ว ยังมีการสอนและฝึกหัดงานฝีมือ เช่น การเย็บเสื้อกั๊กตัวงามที่มีกระดุมติดอยู่ด้านหน้า[cite: 203].
- นวัตกรรมเครื่องจักร: หมอสอนศาสนาเป็นผู้นำ จักรเย็บผ้า เข้ามาในอาณาจักรสยามเป็นครั้งแรก[cite: 203].
- ผู้บุกเบิกในเพชรบุรี: มิสซิสแมคฟาร์แลนด์เป็นคนแรกที่นำจักรเย็บผ้าไปเพชรบุรี[cite: 203].
- ฉายาใหม่ของเมือง: ต่อมาเพชรบุรีจึงเป็นที่รู้จักกันในนามของ “เมืองแห่งจักรเย็บผ้า”[cite: 203].
- การเริ่มงานด้านสตรี: การสอนสตรีและเด็กผู้หญิงจึงเริ่มขึ้นอย่างพอประมาณด้วยวิธีนี้[cite: 203].
🚀 ส่วนที่ 6: การขยายงานและนวัตกรรมในการเผยแพร่
- งานเผยแพร่ประจำ: คุณแมคฟาร์แลนด์ทำงานด้านท้องถิ่น ประกอบพิธีทางศาสนา และฝึกอบรมผู้ที่จะเข้าพิธีรับบัพติศมา[cite: 205].
- จุดเริ่มต้นการมองไปทางเหนือ: คุณแมคกิลวารีเริ่มสนใจ “เจ้านายลาว” ที่เดินทางมาจากทางตอนเหนือและจอดพักเรืออยู่หน้าคณะมิชชัน[cite: 205].
- กลุ่มเชลยศึก: ความสนใจเพิ่มมากขึ้นเมื่อท่านพบหมู่บ้านของ เชลยศึกชาวลาว ที่ถูกจับมาที่เพชรบุรี[cite: 206].
- การตอบสนองที่รวดเร็ว: แม้ผู้คนเหล่านี้จะพูดภาษาที่แตกต่างและหมอสอนศาสนามีความรู้ทางภาษาสยามจำกัด แต่พวกเขาก็ตอบสนองคำสอนของพระเยซูคริสต์อย่างรวดเร็ว[cite: 206].
- วิสัยทัศน์: คุณแมคกิลวารีเริ่มมองเห็นภาพของผู้คนที่ต้องการรับคำสอนของพระเยซูคริสต์ทางตอนเหนือของสยามในปี ค.ศ. 1863[cite: 206].
- การเดินทางค้นหาข้อมูล: คุณแมคกิลวารีชวนศาสนาจารย์ โจนาธาน วิลสัน เดินทางไปเสาะหาข้อมูลในเขตเหนือ[cite: 206].
- ระยะเวลาการเดินทาง: การเดินทางที่เต็มไปด้วยความหวังครั้งนั้นใช้เวลาถึง 79 วัน[cite: 206].
- การก่อตั้งคริสตจักรอย่างเป็นทางการ: คริสตจักรเพชรบุรีก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1863[cite: 207].
- สมาชิกผู้ก่อตั้ง: มีสมาชิกชาวสยามสามคนร่วมกับพวกหมอสอนศาสนา[cite: 207].
- การขยายตัว: การขยายตัวของคริสตจักรเป็นไปอย่างรวดเร็วตั้งแต่เริ่มต้น[cite: 210].
- การย้ายถิ่นฐาน: ในปี ค.ศ. 1867 คุณแมคกิลวารีกับภรรยาและลูกสองคนออกเดินทางไปเชียงใหม่เพื่อเริ่มงานใหม่[cite: 211].
- การสร้างบ้านพัก: ในช่วงที่คุณแมคกิลวารีไม่อยู่ คุณแมคฟาร์แลนด์ใช้เวลาส่วนใหญ่สร้างเคหะทำจากอิฐที่มั่นคงและสุขสบายใจให้กับครอบครัว[cite: 212].
- นักเทศน์ชาวสยามคนแรก: ในปี ค.ศ. 1867 นายคล้ายซึ่งเป็นคนเพชรบุรี ได้รับใบอนุญาตให้เป็น นักเทศน์ชาวสยามคนแรก ในการประชุมคริสตจักรภาคเพรสไบทีเรียนแห่งสยาม[cite: 214].
- ผู้ฝึกสอน: นายคล้ายได้รับการฝึกฝนเล่าเรียนจากคุณแมคฟาร์แลนด์[cite: 214].
⛪ ส่วนที่ 7: โครงการก่อสร้างโบสถ์และแหล่งทุนที่มาจากสยาม
- โครงการใหญ่: งานสำคัญต่อไปที่คุณแมคฟาร์แลนด์ทำคือการสร้างสถานสักการะ (โบสถ์) ด้วยอิฐ[cite: 214].
- ความยากลำบากในการก่อสร้าง: พวกเขาต้อง ทำอิฐและเผาอิฐด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นกระบวนการที่เชื่องช้ามากในสยามขณะนั้น[cite: 214].
- ความละเอียดอ่อน: การก่อสร้างต้องบอกรูปร่างอาคารและรายละเอียดแก่คนงานทีละอย่างๆ ซึ่งต้องใช้ความอดทนสูง[cite: 214].
- ความทุ่มเท: หมอสอนศาสนาอายุน้อยเหล่านี้ต้องใช้ความอดทนและการดูแลควบคุมรายละเอียดอย่างไม่ย่อท้อ[cite: 214].
- ความสำเร็จ: หลังจากทำงานอย่างต่อเนื่องถึง สามปี งานก็เสร็จสมบูรณ์ และมีพิธีถวายโบสถ์แห่งใหม่ ในปี ค.ศ. 1872[cite: 214].
- วันแห่งความปิติ: วันถวายโบสถ์เป็นวันแห่งความปิติโสมนัสอย่างยิ่งสำหรับคริสตศาสนิกชนกลุ่มเล็กๆ ในเพชรบุรี ที่เห็นอาคารใหม่ที่สร้างขึ้นด้วยมือของพวกเขา[cite: 215].
- ผู้เทศน์ในพิธี: ศาสนาจารย์ คอร์เนเลียส บี. บรัดเลย์ บุตรคนโตของหมอบรัดเลย์จากบางกอก เป็นผู้เทศน์ในการสถาปนา[cite: 215].
- การเดินทางด้วยเรือนแพ (ตัวอย่าง): คุณแมคฟาร์แลนด์ริเริ่มใช้ “เรือนแพ” เดินทางไปตามแม่น้ำลำคลอง[cite: 216].
- หน้าที่ของเรือนแพ: เรือนแพใช้เป็นที่หลับนอนในตอนกลางคืน และเป็นห้องพยาบาล/แจกจ่ายเอกสารคำสอนในตอนกลางวัน[cite: 216, 236].
- นวัตกรรมบนบก (ตัวอย่าง): สำหรับงานบนบก ท่านประดิษฐ์และสร้าง “รถล้อเดียว” (wheelbarrow) ที่สามารถวางของและทรงตัวได้ดี[cite: 236].
- การเดินทางด้วยรถ: หมอสอนศาสนาท่านนี้เดินทางกับ “ม้า” ตัวเล็กๆ ตัวนี้ (หมายถึงรถล้อเดียว) ไปยังหมู่บ้านต่างๆ[cite: 236].
- ผลลัพธ์การเผยแพร่: บรรดาหมู่บ้านที่อยู่รายล้อมเพชรบุรีทั้งหมดจึงเป็นเขตที่ท่านไปเยือนและเผยแพร่พระวจนะของพระเยซูคริสต์[cite: 236].
- นโยบายการอยู่อาศัย: ทางมิชชันมีนโยบายให้ครอบครัวคริสเตียนอาศัยอยู่บนที่ดินของศูนย์พันธกิจมากที่สุดเท่าที่จะทำได้[cite: 237].
- ปัญหาความปลอดภัย (ตัวอย่าง): รั้วไม้ไผ่ที่ล้อมอาณาเขตไม่แข็งแรงพอที่จะ “ขับไล่ซาตานกับตัวแทนของมัน” ทำให้มีการบุกรุกเข้ามาบ่อยครั้ง (แสดงถึงความเปราะบางของสิ่งปลูกสร้าง)[cite: 237].
🎶 ส่วนที่ 8: หนังสือเพลงนมัสการและวิกฤตการเงิน
- โครงการหนังสือเพลง: ครอบครัวแมคฟาร์แลนด์นำแม่พิมพ์บทเพลงเพื่อพิมพ์หนังสือเพลงนมัสการภาษาสยามกลับมาด้วย[cite: 242].
- วิธีการพิมพ์: บทเพลงเหล่านี้พิมพ์ด้วย แท่นพิมพ์ไม้ ซึ่งคุณแมคฟาร์แลนด์เป็นผู้ทำขึ้น[cite: 242].
- ผู้สนับสนุนเงินทุน: โรงเรียนรวีวารศึกษากับสมาคมมิชชันนารีหลายแห่งบริจาคเงินคนละห้าดอลล่าร์เพื่อซื้อแม่พิมพ์[cite: 242].
- ผู้แปล: ครูพูน ซึ่งเป็นครูสอนภาษา เป็นคนเดียวที่ทำหน้าที่แปลเพลงนมัสการเหล่านั้นเป็นภาษาสยาม[cite: 242].
- ความท้าทายในการแปล: ครูพูนไม่รู้จักทำนองต่างชาติ จึงต้องมีการสอนทำนองให้ท่านก่อน แล้วจึงแปลบทเพลงให้เข้ากับทำนอง[cite: 242].
- ความจำเป็นในการขยายอาคาร: จำนวนอาคารไม่เพียงพอต่อการขยายงานโรงเรียนด้านการเรือน จึงต้องมีการก่อสร้างอาคารอิฐขนาดใหญ่[cite: 243].
- ค่าใช้จ่ายสูง: อาคารดังกล่าวใช้เวลาสองปีและเสียค่าใช้จ่าย 4,000 เหรียญ[cite: 243].
- คำมั่นสัญญา: กรรมการคณะมิชชันสัญญาว่าจะให้เงินจำนวน 4,000 เหรียญ[cite: 243].
- วิกฤตการเงิน (ตัวอย่าง): กรรมการคณะมิชชันไม่อาจเติมเต็มคำมั่นสัญญาได้ และแจ้งว่าไม่สามารถพึ่งพาเงินที่เหลืออีก 2,000 เหรียญ ได้[cite: 244].
- การช่วยเหลือจากสยาม: มิตรชาวสยามเสนอให้ถวายฎีกาต่อกษัตริย์เพื่อขอบริจาคภายในสยาม[cite: 246].
- พระราชทานทุน: พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ทรงพระราชทานเงิน 1,000 เหรียญ[cite: 246].
- แหล่งทุนอื่น: เงินที่เหลือมาจากพระญาติวงศ์กับขุนนาง[cite: 246].
- ผลลัพธ์: อาคารโรงเรียนสองชั้นจึงได้ก่อสร้างขึ้นและใช้สืบมาจนกระทั่งทุกวันนี้[cite: 246].
🔄 ส่วนที่ 9: การโยกย้ายและการก่อตั้งโรงพยาบาลแห่งแรก
- การเปลี่ยนงานของ ดร.แมคฟาร์แลนด์: พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดให้ ดร.แมคฟาร์แลนด์มาทำงานถวายพระองค์[cite: 252].
- โรงเรียนหลวง: ดร.แมคฟาร์แลนด์เดินทางไปบางกอกและก่อตั้ง โรงเรียนหลวงสำหรับขุนนางที่สวนอนันต์ ในปี ค.ศ. 1878[cite: 252].
- คริสตจักรแห่งแรกของสยามใต้: ก่อนออกจากเพชรบุรี ท่านได้ก่อตั้งคริสตจักรท้องถิ่นแห่งแรกในเขตสยามใต้ คือ คริสตจักรที่บางตะบูน โดยมีสมาชิกผู้ก่อตั้งเก้าคน[cite: 252].
- การแพทย์และการสร้างโรงพยาบาล: ดร.อี. เอ. สเตอร์จ เดินทางมาถึงในปี ค.ศ. 1880 และเป็นผู้สร้าง โรงพยาบาลที่เพชรบุรี ซึ่งนับเป็น โรงพยาบาลแห่งแรกในอาณาจักรสยาม[cite: 255].
- ความผันผวนของเจ้าหน้าที่: หลังจากนั้นศูนย์พันธกิจเพชรบุรีประสบกับความผันผวนและการเปลี่ยนแปลงเจ้าหน้าที่อย่างมากมายหลายครั้งในช่วงเวลาสองสามปีต่อมา ส่วนใหญ่เกิดจากปัญหาด้านสุขภาพ[cite: 253, 254, 256, 257].
Ch8
สวัสดีครับ! ยินดีสรุปเรื่องราวการก่อตั้ง ศูนย์พันธกิจเชียงใหม่ ที่เต็มไปด้วยการผจญภัย ความศรัทธา และเหตุการณ์สุดระทึกในอดีต ให้เข้าใจง่ายและอ่านสนุกๆ เป็นข้อๆ เลยครับ! (เน้นเรื่องราวจากปี ค.ศ. 1867 เป็นหลัก)
เนื่องจากเนื้อหามีความเข้มข้น ผมขอแบ่งเป็น 5 ส่วนหลัก และสรุปให้คุณได้ไปอ่านต่ออย่างจุใจตามที่ขอมาครับ
🌟 ส่วนที่ 1: จุดเริ่มต้นของความฝันและการผจญภัย (The Vision and Venture)
ศูนย์พันธกิจเชียงใหม่ที่ก่อตั้งโดยมิชชันนารีเพรสไบทีเรียนถือเป็นหนึ่งในศูนย์ที่โดดเด่นและห่างไกลที่สุดในราชอาณาจักรสยาม [cite: 184]
- ชื่อภารกิจที่ตั้งขึ้น: ศูนย์พันธกิจเชียงใหม่ (Chiang Mai Mission Center) [cite: 183]
- ปีแห่งการก่อตั้งอย่างเป็นทางการ: ค.ศ. 1867 (พ.ศ. 2410) [cite: 183]
- ผู้ดูแลหลัก: คณะกรรมการมิชชันเพรสไบทีเรียนโพ้นทะเล [cite: 184]
- แนวคิดการก่อตั้ง: เน้นแนวคิดแบบ นักผจญภัย เพราะเป็นการบุกเบิกในพื้นที่ห่างไกล ไม่ใช่เน้นความปลอดภัย [cite: 184]
- ทำเลที่ตั้งสุดพิเศษ: ตั้งอยู่ในหุบเขาลุ่มแม่น้ำปิงอันงดงาม ครอบคลุมพื้นที่มณฑลเชียงใหม่และลำพูน [cite: 184]
- สถิติสำคัญในยุคนั้น: มีสมาชิกคริสตศาสนิกชนกว่า 2,300 คนในพื้นที่นี้ ซึ่งคิดเป็นประมาณสองในห้าของคริสตศาสนิกชนทั้งหมดในสยามเลยทีเดียว! [cite: 184]
- ผู้บุกเบิกคนสำคัญ: ศาสนาจารย์ ดร. แดลเนียล เอ็ม. แมคกิลวารี (Dr. Daniel M. McGilvary) [cite: 185, 199]
- ความฝันสูงสุดของ ดร.แมคกิลวารี: ท่านต้องการเห็นคนเชื้อสายไททั้งหมดในภูมิภาคนี้มารับฟังพระวจนะของพระเยซูคริสต์ [cite: 185]
- มาถึงสยามครั้งแรก: ดร.แมคกิลวารีเดินทางมาสยามตั้งแต่ปี ค.ศ. 1858 [cite: 186]
- รู้จักผู้ใหญ่: ท่านรู้จักเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่มาก่อนจากการที่พระองค์เสด็จมาพักขบวนเรือใกล้บ้านท่านในบางกอก [cite: 186]
- แรงบันดาลใจจากเพชรบุรี: ก่อนไปเชียงใหม่ ท่านเคยไปเยี่ยมชุมชนเชลยศึกชาวลาวที่อาศัยอยู่ใกล้เพชรบุรีมาแล้ว [cite: 186]
- เดินทางบุกเบิก (รอบแรก): ในปี ค.ศ. 1863 ท่านกับเพื่อนร่วมชั้น คือ ดร. วิลสัน ได้เดินทางไปสำรวจทางเหนือและพักอยู่ที่เชียงใหม่สิบวัน [cite: 187]
- ประทับใจตั้งแต่แรกเห็น: ท่านบันทึกไว้ว่า “เวลาเพียงวันเดียวก็เพียงพอที่จะโน้มน้าวใจเรา” และตัดสินใจทุ่มเทชีวิตให้เชียงใหม่ [cite: 187]
- ปัญหาภายใน: แผนเปิดศูนย์ฯ ที่ห่างไกลนี้ไม่ได้รับการสนใจจากคณะมิชชันในบางกอกในตอนแรก เพราะขาดแคลนบุคลากรอยู่แล้ว [cite: 187]
- การเอาชนะฝ่ายค้าน: ดร.แมคกิลวารีใช้เวลาจนถึงฤดูใบไม้ร่วงปี ค.ศ. 1866 จึงสามารถเอาชนะฝ่ายค้านในคณะมิชชันและเริ่มเตรียมงานได้ [cite: 190]
- ผู้ที่มีอำนาจจริง: การอนุมัติขั้นสุดท้ายต้องขึ้นอยู่กับ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ ซึ่งขณะนั้นกำลังประทับอยู่ในบางกอก [cite: 194]
👑 ส่วนที่ 2: ฉากขออนุญาตสุดฮาและของสนับสนุนสุดเซอร์ไพรส์
เรื่องราวการขออนุญาตตั้งศูนย์ฯ ในเชียงใหม่มีรายละเอียดที่น่าสนใจและเต็มไปด้วยสีสัน!
- ตัวช่วยคนสำคัญ: คุณฮูด กงสุลอเมริกัน ตกลงให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ [cite: 194]
- การขออนุมัติ: มีการถวายสาสน์ต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4 หรือ 5 แล้วแต่ช่วงปี) ผ่านเสนาบดีกระทรวงต่างประเทศ [cite: 194]
- คำตอบจากสยาม: รัฐบาลสยามไม่สามารถ “บังคับคนลาว” (คนทางเหนือ) ได้ แต่ถ้าเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ทรงอนุมัติ รัฐบาลสยามก็จะอนุมัติด้วย [cite: 194]
- สถานที่สำคัญในการอนุมัติ: การเข้าเฝ้าเพื่อขออนุมัติไม่ได้เกิดขึ้นในท้องพระโรง แต่เป็นที่ ศาลาริมท่าน้ำ ที่ขบวนเรือลาวจอดพักอยู่ [cite: 194]
- บรรยากาศที่น่าขัน: ดร.แมคกิลวารีเล่าว่าการกำเนิดของมิชชันลาว “น่าขันพอสมควรทีเดียว” เพราะท้องพระโรงคือศาลาท่าน้ำใต้ร่มเงาของวัดพุทธ [cite: 203]
- ฉลองพระองค์แบบเรียบง่าย: เจ้าผู้ครองนครทรงปรากฏพระองค์ในฉลองพระองค์แบบเรียบง่าย คือทรงผ้านุ่งแต่ไม่มีเสื้อ และมีผ้าพาดไหล่แบบหลวมๆ [cite: 194]
- ท่าประทับที่ไม่เป็นทางการ: ทรงนั่งในอิริยาบถที่ทรงโปรด คือ ห้อยขาขวาบนเข่าซ้าย ขณะทรงถามธุระ [cite: 196]
- การอนุมัติทันที: เจ้าผู้ครองนครทรงอนุมัติให้ตั้งรกรากในเชียงใหม่ได้ทันที และทรงโล่งพระทัยที่ธุระของมิชชันนารี “ไม่ได้สำคัญเกินไปกว่านั้น” [cite: 196]
- สิทธิพิเศษด้านที่ดิน: ทรงบอกว่าที่ดิน “ราคาถูกและไม่จำเป็นต้องซื้อด้วยซ้ำไป” และอนุญาตให้สร้างบ้านด้วยอิฐหรือไม้ก็ได้ [cite: 196]
- วัตถุประสงค์ที่ชัดเจน: เจ้าผู้ครองนครทรงทราบวัตถุประสงค์ของการมาคือ เผยแพร่ศาสนา จัดตั้งโรงเรียน และรักษาคนป่วย [cite: 196]
- การสนับสนุนจากบางกอก (สิ่งของ): สมาคมเย็บปักสตรีบริจาคของให้คริสตจักรใหม่ และคุณหมอเจมส์ แคมป์เบลล์ ให้ยารักษาโรคพร้อมหนังสือคู่มือ [cite: 204]
- ของป้องกันตัวสุดเซอร์ไพรส์: ท่านกงสุลเยอรมันบริจาค ปืนไรเฟิลจากปรัสเซีย ให้ ดร.แมคกิลวารี เพื่อใช้ป้องกันตัวเองในการเดินทาง [cite: 204]
🚶♀️ ส่วนที่ 3: บททดสอบของการบุกเบิก (The Hardship and Breakthrough)
การเดินทางและชีวิตในช่วงแรกเป็นบททดสอบความอดทนของคณะมิชชันนารีอย่างแท้จริง
- วันออกเดินทางจริง: 3 มกราคม ค.ศ. 1867 [cite: 208]
- เพื่อนร่วมทาง: ดร.แมคกิลวารีและครอบครัวออกเดินทางก่อน โดยทิ้งครอบครัว ดร.วิลสัน ไว้ให้ตามมาปีหน้า [cite: 208]
- การเดินทางสุดโหด: การเดินทางไปตามแม่น้ำปิงต้องเผชิญกับ เกาะแก่งมากกว่า 40 แห่ง [cite: 211]
- ระยะเวลาเดินทาง: ใช้เวลาถึง 3 เดือนเต็มกว่าจะถึงเชียงใหม่ (ถึง 3 เมษายน ค.ศ. 1867) [cite: 211]
- สภาพเมืองเชียงใหม่: เป็น “เมืองป่า” ที่ไม่มีเพื่อน ไม่มีบ้านเช่า ไม่มีโรงแรม และไม่มีแม้แต่บริการไปรษณีย์หรือโทรเลข [cite: 209]
- หมอคือยาเอง: สิ่งเดียวที่ใช้ช่วยรักษาความเจ็บป่วยคือ กล่องเครื่องยากับหนังสือ “ยาประจำบ้านสำหรับอินเดีย” [cite: 209]
- คำเปรียบเทียบจากสยาม: เจ้าหน้าที่ชั้นสูงของสยามมองว่าเจ้าผู้ครองนคร (คนเก่า) นั้น “แข็งราวกับเมล็ดธัญพืชที่ยากต่อการกะเทาะ” (บ่งบอกว่าความสัมพันธ์ขึ้นอยู่กับอารมณ์) [cite: 209, 210]
- ที่พักพิงแห่งแรก: เป็นที่พักสาธารณะเล็กๆ ขนาด 12 x 20 ฟุต มีฝาเรือนและหลังคาแค่บางส่วน [cite: 211]
- พักชั่วคราวแต่ยาวนาน: พวกเขาอาศัยอยู่ในที่พักสาธารณะและที่อยู่ชั่วคราวอื่นๆ รวมกันกว่า แปดปี [cite: 211]
- ไม่มีความเป็นส่วนตัว: ผู้คนในเมืองเบียดเสียดเข้ามาด้วยความอยากรู้อยากเห็น เพื่อดูพวกเขากินข้าว ใช้มีด/ส้อม และแม้แต่ดูขนมปัง [cite: 211, 214]
- ปีที่รวดเร็วและเป็นสุข: แม้จะอยู่ตามลำพังและไม่มีข่าวคราวหลายเดือน แต่ ดร.แมคกิลวารีกลับบันทึกว่าปีแรกเป็นปีที่ “โบยบินไปอย่างรวดเร็วและอย่างเป็นสุข” [cite: 216]
- กำลังใจชั้นดี: ลูกสองคน (สามขวบและหกขวบ) เป็นที่พึ่งทางใจของพวกเขาอย่างแท้จริง [cite: 216]
- ความสุขเพิ่มขึ้น (ค.ศ. 1868): ดร.วิลสันและภรรยาเดินทางมาถึงในเดือนกุมภาพันธ์ เพื่อร่วมงานบุกเบิก [cite: 217]
- คริสตจักรแรกกำเนิด: มีการก่อตั้ง คริสตจักรแห่งแรก ในหมู่คนลาวหรือคนไทของสยามตอนเหนือ [cite: 217]
- ผู้เปลี่ยนศาสนาคนแรก: หนานอินต๊ะ ได้เข้าพิธีรับบัพติศมาเป็นคนแรก [cite: 217]
- มิตรภาพชนชั้นสูง: เจ้าหญิงซึ่งเป็นพระมารดาของเจ้าอินทนนท์ (เจ้าผู้ครองนครคนก่อน) และพระภิกษุรูปหนึ่ง แสดงความเมตตาและยอมรับในความดีงามของพระเยซูคริสต์ [cite: 218]
🩸 ส่วนที่ 4: การประหารชีวิตและการแทรกแซงจากบางกอก (Persecution and Intervention)
ช่วงนี้คือจุดพลิกผันที่เต็มไปด้วยความน่าสะพรึงกลัวและความกล้าหาญ
- จุดเริ่มต้นของความนิยม: ประชาชนเริ่มไว้ใจและเชื่อถือหมอสอนศาสนามากขึ้นจากการ รักษาทางการแพทย์ [cite: 219]
- นวัตกรรมทางการแพทย์: ดร.แมคกิลวารีวางรากฐานสำคัญด้วยการแสดงผลดีของ ยาควินิน ในการรักษาโรคมาเลเรีย [cite: 219]
- การปลูกฝีช่วยชีวิต: ท่านยังนำการ ปลูกฝี เพื่อป้องกันฝีดาษ ซึ่งช่วยชีวิตผู้คนจำนวนมาก [cite: 219]
- การได้ที่ดินถาวร (อีกครั้ง): ใน ค.ศ. 1868 เจ้าผู้ครองนครประทานที่ดินผืนหนึ่งให้มิชชันสร้างที่อยู่ถาวร [cite: 220]
- ความรับผิดชอบของมิชชัน: แม้เจ้าผู้ครองนครจะปฏิเสธค่าชดเชยที่ดิน แต่เมื่อทราบว่าเจ้าของที่ดินตัวจริงไม่ได้รับเงิน มิชชันนารีก็จ่ายค่าที่ดินให้ในภายหลัง (แสดงความยุติธรรม) [cite: 223]
- สี่อาคารหลักแรก: มีการสร้างบ้าน ดร.แมคกิลวารี, บ้าน ดร.วิลสัน, โรงเรียนหญิง, และที่พักครูต่างชาติ (อาคารเหล่านี้ยังคงใช้อยู่) [cite: 223]
- ชนวนความเดือดร้อน: ในกลางปี ค.ศ. 1869 ผู้ใหญ่ในชุมชน สามคน ฝากชะตาชีวิตไว้กับศาสนาใหม่ (รับเชื่อ) [cite: 224]
- เบื้องหลังความริษยา: เจ้าผู้ครองนครเริ่มวางแผนกำจัดมิชชันนารีเพราะ ทรงริษยาในความนิยม และได้รับการยุยงจากคนโปรตุเกสคนหนึ่ง [cite: 225]
- วันแห่งความสูญเสีย: วันที่ 14 กันยายน เจ้าผู้ครองนครสั่งให้ประหารชีวิต หนานชัย กับ น้อยสุนยะ [cite: 226]
- วิธีการประหาร: ทั้งสองถูกประหารด้วยการ ทุบตีด้วยกระบองจนสิ้นใจ [cite: 226]
- กว่าจะรู้ความจริง: หมอสอนศาสนาทราบข่าวการประหารหลังจากนั้นถึง สองสัปดาห์ [cite: 226]
- วิธีการบอกใบ้: เพื่อนบ้านของผู้ตายแอบมาเล่าให้ฟัง โดยใช้มือ กรีดลำคอ แทนคำพูดเพื่อรักษาความลับ [cite: 226]
- บรรยากาศความกลัว: คนรับใช้ต่างลาออก ผู้คนมาขอยาน้อยลง คริสตศาสนิกชนไม่กล้ามาร่วมพิธีศาสนา [cite: 226]
- การบันทึกลับ: พวกหมอสอนศาสนาต้องบันทึกเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้นไว้ตรง ขอบหนังสือในห้องสมุด [cite: 230]
- ผู้ส่งสาร: ไม่มีคนลาวคนใดยอมเสี่ยงนำจดหมายไปบางกอก ต้องอาศัย คนพม่าที่อยู่ใต้อาณัติอังกฤษ ในการส่งข่าว [cite: 230]
- คณะผู้แทนสยามมาถึง: ราชสำนักสยามแต่งตั้งคณะผู้แทนมาช่วย ในวันที่ 27 พฤศจิกายน มาถึงพร้อมขบวนช้าง 18 เชือก และผู้ติดตาม 53 คน [cite: 231]
- สาสน์ตราทองคำ: ผู้แทนพระองค์นำตราทองคำซึ่งใช้กับสาสน์ของผู้สำเร็จราชการ มาถวายเจ้าผู้ครองนคร [cite: 234]
- คำตรัสท้าทาย: ดร.แมคกิลวารีกล่าวหาเจ้าผู้ครองนครอย่างกล้าหาญว่าประหารราษฎรเพราะนับถือคริสต์ [cite: 235]
- คำยืนยัน: เจ้าผู้ครองนครทรงยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น และตรัสย้ำว่าชะตากรรมแบบเดียวกันนี้จะเกิดขึ้นกับทุกคนที่ละทิ้ง “ศาสนาของรัฐ” [cite: 235]
- การตัดสินใจ (ชั่วคราว): มีการตกลงที่จะทิ้งมิชชันไป ชั่วขณะหนึ่ง [cite: 236]
💫 ส่วนที่ 5: การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่และมรดกแห่งศรัทธา (The Legacy)
เหตุการณ์พลิกผันครั้งใหญ่ทำให้สถานการณ์เปลี่ยนไปในที่สุด และงานมิชชันก็กลับมาเติบโตอย่างแข็งแกร่ง
- การสิ้นพระชนม์ของเจ้าผู้ครองนคร: เจ้าผู้ครองนครซึ่งถูกเรียกตัวไปบางกอก สิ้นพระชนม์ ขณะเสด็จกลับจวนจะถึงเชียงใหม่เพียงไม่กี่ไมล์ [cite: 237]
- อาถรรพ์กฎหมายตัวเอง: เนื่องจากกฎหมายของพระองค์เองที่ห้ามนำร่างผู้ตายผ่านประตูเมือง ทำให้พระศพไม่อาจนำเข้าวังภายในตัวเมืองได้ (เชื่อกันว่าเป็นลางร้าย) [cite: 237]
- สันติภาพกลับมา: การสิ้นพระชนม์ของเจ้าผู้ครองนครขจัดการต่อต้านงานมิชชันที่สำคัญที่สุดไปได้ [cite: 238]
- วีรบุรุษผู้ไม่ยอมแพ้ (ยุคต่อมา): แม้มีการต่อต้านประปราย เช่น น้อยสิริถูกจองจำในปี ค.ศ. 1889 [cite: 238]
- ข้อหาที่ไม่จริง: น้อยสิริถูกจำขังด้วยข้อหาการเทศนาที่ทำให้ผู้เปลี่ยนศาสนาไม่ต้องเสียภาษี (ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่ไม่มีมูลความจริง) [cite: 238]
- ผลลัพธ์น่าทึ่งจากคุก: ในช่วง 8 เดือน 10 วันที่น้อยสิริถูกจองจำ คริสตจักรกลับมีสมาชิกเพิ่มขึ้นถึง 133 คน [cite: 238]
- สตรีผู้เป็นแบบอย่าง: ป้าคำมูล แม่หม้ายของน้อยสุนยะ (ผู้สละชีพ) เป็นสตรีคนแรกที่คริสตจักรรับเข้ามา [cite: 239]
- ทางเลือกที่แตกต่าง: แม่หม้ายของหนานชัย (ผู้สละชีพอีกคน) ปฏิเสธการเปลี่ยนศาสนา เพราะนำความเศร้าโศกมาสู่ชีวิตเธอ [cite: 239]
- การทดสอบความศรัทธา: แม่หม้ายหนานชัยเคยชวนป้าคำมูลให้ร่วมกัน สาปแช่งพระผู้เป็นเจ้า และกลับไปไหว้พระในวัด [cite: 240]
- การยืนหยัด: ป้าคำมูลปฏิเสธ และมักเรียกพวกลูกๆ ให้มาร่วม สวดอธิษฐานขอบคุณพระเจ้า ในตอนกลางคืน [cite: 242]
- มรดกแห่งความศรัทธา: ปัจจุบันลูกหลานของน้อยสุนยะ (ผ่านป้าคำมูล) มีอยู่ในคริสตจักรจำนวนมาก ขณะที่ลูกหลานของหนานชัยยังไม่มีใครเปลี่ยนศาสนาเลย [cite: 242]
- แพทย์เต็มเวลามาถึง: มกราคม ค.ศ. 1872 นายแพทย์ ซี. ดับบลิว. วรูแมน, เอ็ม.ดี. (C.W. Vrooman, M.D.) เดินทางมาถึงเชียงใหม่ [cite: 243]
- การแพทย์คือแกนหลัก: นับตั้งแต่นั้นมา งานด้านการแพทย์ก็ดำเนินไปอย่างดีและเป็นส่วนขยายงานที่สำคัญของมิชชัน [cite: 243]
- โรงพยาบาลใหญ่: รากฐานด้านการแพทย์ (ในขณะที่เขียน) ประกอบด้วย โรงพยาบาลขนาด 60 เตียง [cite: 243]
- การบริการเฉพาะทาง: มีห้องสูตินรีเวชแยกอีก 6 เตียง [cite: 243]
- ความใส่ใจต่อทุกศาสนา: มี ห้องพิเศษสำหรับพระภิกษุสงฆ์ โดยเฉพาะ [cite: 243]
- การดูแลชาวต่างชาติ: มีอาคาร 4 ห้องสำหรับคนไข้จากยุโรป [cite: 243]
- โรงเรียนพยาบาล: โรงพยาบาลยังเป็นผลสืบเนื่องในการก่อตั้ง โรงเรียนฝึกพยาบาล [cite: 243]
- สถาบันการศึกษาสำคัญที่ก่อตั้งขึ้น:
- โรงเรียนพระคริสต์ธรรมแมคกิลวารี [cite: 184]
- โรงเรียนปรินสรอยแยลส์วิทยาลัย [cite: 184]
- โรงเรียนดาราวิทยาลัย [cite: 184]
- สถาบันการแพทย์สำคัญที่ก่อตั้งขึ้น:
- โรงพยาบาลแมคคอร์มิค [cite: 184]
- โรงเรียนพยาบาล [cite: 184]
- สถานพยาบาลผู้ป่วยโรคเรื้อนเชียงใหม่ [cite: 184]
Ch9
เพื่อให้ง่ายต่อการอ่านและเข้าใจประวัติศาสตร์ของ ศูนย์พันธกิจลำปาง ในช่วงหนึ่งศตวรรษ (ค.ศ. 1885 - ค.ศ. 1928) [cite: 2, 72] ผมได้สรุปประเด็นสำคัญเป็นข้อๆ พร้อมทั้งแบ่งเป็นหมวดหมู่ และเพิ่มตัวอย่างประกอบเพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นครับ!
🌟 สรุปประเด็นสำคัญ: หนึ่งศตวรรษในสยาม - ศูนย์พันธกิจลำปาง (ค.ศ. 1885 - ค.ศ. 1928)
นี่คือเรื่องราวของศรัทธา ความมุ่งมั่น และการก่อตั้งรากฐานของคริสต์ศาสนาในลำปาง ผ่านสามเสาหลัก: คริสตจักร, โรงเรียน และการแพทย์ [cite: 22]
1️⃣ การก่อตั้งและจุดเริ่มต้น (The Big Start)
| ลำดับ | ประเด็นสำคัญ | ตัวอย่าง/คำอธิบายเพิ่มเติม |
|---|---|---|
| 1. | ปีที่ก่อตั้งอย่างไม่เป็นทางการ คือ ค.ศ. 1885 [cite: 2, 5] | ปีที่หมอสอนศาสนากลุ่มแรกไปประจำที่ลำปาง [cite: 5] |
| 2. | ผู้เปลี่ยนศาสนาคนแรก มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการเริ่มต้น [cite: 3] | ท่านคือ พระยา สีหนาท ซึ่งการเปลี่ยนศาสนาของท่านถูกเปรียบกับการอ่านหน้าแรกจากพระธรรมกิจการของอัครทูต [cite: 3, 7] |
| 3. | การเปลี่ยนศาสนาของพระยา สีหนาท ใช้เวลาถึง 20 ปี [cite: 3] | ท่านได้หนังสือพระวจนะมา แต่ไม่มีใครช่วยตีความให้ จนกระทั่งได้พบ ดร.แมคกิลวารี ที่เชียงใหม่ [cite: 3] |
| 4. | พระยา สีหนาทรับบัพติศมา ในวันที่ 8 พฤษภาคม ค.ศ. 1878 [cite: 3] | เป็นการเริ่มต้นอย่างเป็นทางการของท่านในศาสนาคริสต์ [cite: 3] |
| 5. | พระยา สีหนาทสอนภรรยา ลูก และเพื่อน ทันทีที่กลับถึงเคหะ [cite: 3] | แสดงถึงความมุ่งมั่นที่จะแบ่งปันความเชื่อที่เพิ่งได้รับมา [cite: 3] |
| 6. | คริสตจักรแรกในลำปางก่อตั้งขึ้น ภายใน 2 ปีหลังจากการรับบัพติศมาของพระยา สีหนาท [cite: 3] | มีจำนวนคริสตศาสนิกชนเพียงพอที่จะจัดตั้งได้ [cite: 3] |
| 7. | พระยา สีหนาท เป็น ผู้ปกครองคนแรก ของคริสตจักรที่ก่อตั้งขึ้น [cite: 3] | แสดงถึงบทบาทความเป็นผู้นำในชุมชนคริสเตียนท้องถิ่น [cite: 3] |
| 8. | พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.5) ทรงสนับสนุน การก่อตั้งศูนย์พันธกิจ [cite: 3] | ทรงพระราชทาน ที่ดินผืนหนึ่ง [cite: 3] |
| 9. | พระมหากษัตริย์ทรงพระราชทานเงิน จำนวน 2,000 รูปี [cite: 3] | เพื่อใช้ในการสร้างศูนย์พันธกิจและโรงพยาบาล [cite: 3] |
| 10. | หมอสอนศาสนากลุ่มแรก คือ ศาสนาจารย์ เอส. พีเพิลส์, เอ็ม.ดี. กับภรรยา [cite: 4] | ดร.พีเพิลส์มีความเชี่ยวชาญ 2 ด้าน เหมาะสมอย่างยิ่งในการเปิดศูนย์ใหม่ [cite: 4] |
| 11. | ผู้ร่วมงานสมทบเพิ่มเติม คือ ศาสนาจารย์โจนาธาน วิลสัน, ดี.ดี. และหลานสาว มิสแคเธอรีน ฟลีสัน [cite: 5] | ดร.วิลสันเดินทางกลับมาจากการลาพัก และมาเข้าร่วมงานใหม่นี้ [cite: 5] |
| 12. | ศาสนาจารย์ ฮิว เทเลอร์ กับภรรยา มาร่วมงานใน ค.ศ. 1888 [cite: 5] | เป็นการเสริมทีมงานให้แข็งแกร่งขึ้น [cite: 5] |
| 13. | การก่อตั้งศูนย์พันธกิจลำปางอย่างเป็นทางการ เกิดขึ้นในวันที่ 21 มกราคม ค.ศ. 1889 [cite: 5] | แม้หมอสอนศาสนาจะมาประจำตั้งแต่ ค.ศ. 1885 แต่การตั้งศูนย์อย่างเป็นทางการเกิดภายหลัง [cite: 5] |
| 14. | ดร.วิลสัน ได้รับเลือกเป็น ประธาน ในการก่อตั้งอย่างเป็นทางการ [cite: 10] | เนื่องจากเป็นสมาชิกผู้ใหญ่ไม่ว่าจะในด้านอายุหรือประสบการณ์ [cite: 6, 10] |
| 15. | โครงการพิมพ์ภาษาลาว เริ่มต้นเมื่อศูนย์ฯ ก่อตั้งได้เพียง 6 เดือน [cite: 11] | มีการมอบอำนาจให้คุณพีเพิลส์จัดหาแท่นพิมพ์ในขณะที่ท่านอยู่ในอเมริกา [cite: 11] |
| 16. | ที่มาของโรงพิมพ์เชียงใหม่ มาจากโครงการจัดซื้อแท่นพิมพ์ภาษาลาวนี้ [cite: 11] | โรงพิมพ์นี้ได้ช่วยสนับสนุนงานทั้งหมดในสยามเหนือเกือบครึ่งศตวรรษ [cite: 11] |
| 17. | นายแพทย์ วิลเลียม บริกส์ เข้ามาดูแลทุนสนับสนุนโรงพยาบาลใน 14 มกราคม ค.ศ. 1890 [cite: 12] | บันทึกสั้นๆ กล่าวถึงท่านและศาสนาจารย์ โรเบิร์ต เออร์วิน ที่เดินทางมาพร้อมกัน [cite: 12] |
| 18. | มีการพิจารณาบ้านถาวร ในปี 1891 [cite: 13] | มีการซื้อท่อนซุงไม้สักในราคาถูกอย่างน่าอัศจรรย์ใจ [cite: 13] |
| 19. | การซื้อที่ดินเพื่อโรงเรียนชายประสบความสำเร็จ ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1891 [cite: 13] | ที่ดินผืนนี้คือที่ตั้งของ โรงเรียนเคนเน็ต แมคเคนซี เมมโมเรียล ในเวลาต่อมา [cite: 13] |
2️⃣ งานด้านคริสตจักรและการเผยแพร่ศาสนา (The Church & Missions)
| ลำดับ | ประเด็นสำคัญ | ตัวอย่าง/คำอธิบายเพิ่มเติม |
|---|---|---|
| 20. | งานคริสตจักร โรงเรียน และการแพทย์ ประสบความสำเร็จไปพร้อมๆกันในช่วงปีแรกๆ [cite: 21, 22] | เป็นการทำงานแบบองค์รวม 3 แผนก [cite: 22] |
| 21. | บุรุษสองท่าน ที่เป็นศูนย์กลางชีวิตคริสตจักรหลายปี คือ ศาสนาจารย์ โจนาธาน วิลสัน, ดี.ดี. และ ศาสนาจารย์ ฮิว เทเลอร์, ดี.ดี. [cite: 23] | ทั้งสองท่านยืนหยัดต่อสู้กับความท้อถอยด้วยความมุ่งมั่น [cite: 24] |
| 22. | ดร.วิลสัน เป็นผู้รับหน้าที่ทางด้าน บทเพลงนมัสการภาษาลาว [cite: 27] | งานแปลกที่ไม่มีหมอสอนศาสนาทางเหนือเคยทำมาก่อน [cite: 27] |
| 23. | ดร.วิลสันแปลบทเพลงนมัสการ ของอังกฤษและอเมริกากว่า 500 เพลง [cite: 27] | เพื่อให้มีบทเพลงในภาษาท้องถิ่นสำหรับดินแดนที่มีดนตรีน้อย [cite: 27] |
| 24. | อิทธิพลของ ดร.วิลสัน ถูกเปรียบเทียบกับนักศาสนศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ [cite: 27, 28] | ดร.แมคกิลวารีสดุดีว่า “อิทธิพลของท่านในคริสตจักรลาวอาจจะเปรียบได้กับวัตส์และเวสลีย์ของชนชาติอังกฤษ” [cite: 27, 28] |
| 25. | การขยายตัวของคริสตจักร เป็นไปอย่างช้าๆ ไปยังบริเวณใกล้เคียง [cite: 29] | คริสตจักรมีเป้าหมายที่จะ “เริ่มต้นจากกรุงเยรูซาเลม” (ขยายจากส่วนกลางออกไป) [cite: 29] |
| 26. | การจัดตั้งโบสถ์หมู่บ้านครั้งแรก เริ่มต้นจากการเดินทางของ ดร.เทเลอร์กับภรรยาในปี 1891 [cite: 29] | โบสถ์แรกจัดตั้งขึ้นที่เคหะของนายชา [cite: 29] |
| 27. | การจัดตั้งโบสถ์หมู่บ้านแห่งที่สอง เกิดขึ้นหลังจากคุณเออร์วินเดินทางไปยังเมืองยอน [cite: 29] | เป็นการขยายงานไปยังดินแดนที่ห่างไกลออกไป [cite: 29] |
| 28. | ศาสนาจารย์ แอล. ดับบลิว. เคอร์ติส กับภรรยา เดินทางมาถึงในปี 1894 [cite: 30] | ช่วยเสริมกำลังงานเผยแพร่ศาสนา [cite: 30] |
| 29. | มิสซิสเคอร์ติส เป็นผู้เขียนเรื่อง “คนลาวแห่งสยามเหนือ” [cite: 30] | เป็นงานที่ช่วยให้ผู้คนรู้จักและเข้าใจชนชาติลาวในสยามเหนือ [cite: 30] |
| 30. | ศาสนาจารย์ ซี. อาร์. คาเลนเดอร์ เป็นผู้เผยแพร่ศาสนาที่สำคัญ [cite: 31] | ท่านกับภรรยาเดินทางมาถึงในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1896 และต่อมาถูกส่งไปทำงานที่ลำปางเป็นครั้งที่สองใน ค.ศ. 1909 [cite: 31] |
| 31. | ดร.เทเลอร์ย้ายไปทำงานที่น่าน ในปี ค.ศ. 1908 [cite: 32] | เป็นการขยายงานไปยังศูนย์พันธกิจแห่งใหม่ [cite: 32] |
| 32. | ศาสนาจารย์ ลอเรน ฮันนา เข้ามาดูแลงานเผยแพร่ศาสนา [cite: 32] | เป็นหนึ่งในศาสนาจารย์ที่เข้ามาปฏิบัติหน้าที่ในช่วงเวลานั้น [cite: 32] |
| 33. | โบสถ์เจริญเติบโต อย่างเห็นได้ชัดและเป็นไปอย่างมีระเบียบแบบแผนในช่วงเวลา 14 ปี [cite: 37] | เป็นช่วงที่ศาสนาจารย์หลายท่าน (เช่น กิลลิส, วินเซนต์, ฮาร์ตเซลล์) ทำหน้าที่เป็นศิษยาภิบาลร่วมกับ ดร.วิลสัน [cite: 36, 37] |
| 34. | คนท้องถิ่นลำปาง ค่อยๆ มีบทบาทมากขึ้นในคริสตจักรของตนเอง [cite: 37] | เป็นการพัฒนาสู่การเป็นคริสตจักรท้องถิ่นที่เข้มแข็ง [cite: 37] |
| 35. | การก่อสร้างโบสถ์ฟลีสัน เมมโมเรียล เสร็จสมบูรณ์ในปี ค.ศ. 1926 [cite: 37] | เป็นหนึ่งในโบสถ์ที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งในสยาม [cite: 37] |
| 36. | คนท้องถิ่นได้อุทิศเงิน ให้กับการก่อสร้างโบสถ์ฟลีสัน เมมโมเรียล [cite: 37] | แสดงถึงความเป็นเจ้าของและความศรัทธาของชุมชน [cite: 37] |
| 37. | คริสตจักรลำปางพัฒนาเพื่อเลี้ยงตัวเองได้สำเร็จ ในช่วงทศวรรษสุดท้าย [cite: 37] | จากกลุ่มคริสเตียนเล็กๆ กลุ่มแรก สู่คริสตจักรที่สามารถรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดได้ [cite: 37] |
| 38. | ค.ศ. 1928 มีศิษยาภิบาลเข้ารับผิดชอบงานเต็มที่ตามเงินเดือนที่ได้รับ [cite: 37] | เป็นการยืนยันการเป็นคริสตจักรที่พึ่งพาตนเองได้ [cite: 37] |
3️⃣ งานด้านการแพทย์และโรงพยาบาล (Healthcare & Hospital)
| ลำดับ | ประเด็นสำคัญ | ตัวอย่าง/คำอธิบายเพิ่มเติม |
|---|---|---|
| 39. | ดร.พีเพิลส์ เริ่มงานด้านการแพทย์อย่างเรียบง่าย [cite: 22] | ท่านใช้ทักษะ การรู้จักผ่อนหนักเป็นเบา และความเห็นอกเห็นใจในการขยายขอบข่ายของงาน [cite: 22] |
| 40. | ดร.บริกส์ ช่วยเพิ่มจำนวนอาคารและสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับงานการแพทย์ [cite: 40] | ท่านมาถึงในปี ค.ศ. 1890 [cite: 12] และอยู่จนถึง ค.ศ. 1893 [cite: 40] |
| 41. | ดร.บริกส์ลาออกจากลำปาง ในวันที่ 11 สิงหาคม ค.ศ. 1893 [cite: 40] | เพื่อไปก่อตั้งศูนย์พันธกิจแห่งใหม่ที่ เมืองแพร่ [cite: 40] |
| 42. | ศาสนาจารย์ เจ.เอส. ธอมัส, เอ็ม.ดี. กับภรรยา เข้ามาดูแลงานโรงพยาบาลต่อ [cite: 40, 41] | ท่านมาพร้อมกับมิสจูเลีย แฮทช์ (มิสซิสฮิว เทเลอร์ในปัจจุบัน) [cite: 41] |
| 43. | ดร.ธอมัสและภรรยา ย้ายไปทำงานที่ศูนย์พันธกิจแห่งใหม่ที่ แพร่ [cite: 41] | เนื่องจากท่านทั้งสามเป็นที่ต้องการของศูนย์แห่งใหม่นี้ [cite: 41] |
| 44. | นายแพทย์ คาร์ล ซี. แฮนเซน กับภรรยา เริ่มต้นยุคใหม่ของการแพทย์ [cite: 42] | ท่านเป็นผู้นำด้านนี้ถึง 14 ปี และช่วยสร้างชื่อเสียงให้กับโรงพยาบาล [cite: 42] |
| 45. | ดร.แฮนเซนลาออกไป ในปี ค.ศ. 1908 [cite: 42] | ท่านเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญยาวนานในด้านการแพทย์ [cite: 42] |
| 46. | ชาร์ลส์ เอช. ครู๊คซ์, เอ็ม.ดี. กับภรรยา รับหน้าที่ดูแลงานต่อ [cite: 42, 43] | ท่านได้ดูแลงานการแพทย์ที่รู้จักกันในนาม โรงพยาบาลชาร์ลส์ ที. แวน แซนต์วูด กับห้องพยาบาลลำปาง [cite: 43] |
| 47. | มีการสร้างห้องผู้ป่วยพิเศษเพิ่มขึ้น สองแห่ง [cite: 43] | เป็นการพัฒนาอาคารและบริการของโรงพยาบาล [cite: 43] |
| 48. | ห้องผ่าตัดทันสมัยและห้องปฏิบัติการ สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1920 [cite: 43] | แสดงถึงการพัฒนาด้านเทคโนโลยีทางการแพทย์ [cite: 43] |
| 49. | โรงครัวที่ทำด้วยอิฐ สร้างเพิ่มขึ้นในปี ค.ศ. 1920 [cite: 43] | เป็นการปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐาน [cite: 43] |
| 50. | หน่วยประปาของโรงพยาบาล สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1922 [cite: 43] | ทำให้โรงพยาบาลกับบ้านอีกสามแห่งมีน้ำใช้อย่างบริบูรณ์ [cite: 43] |
| 51. | มีการสร้างห้องน้ำทันสมัย พร้อมน้ำร้อนน้ำเย็นในปี ค.ศ. 1923 [cite: 43] | รวมถึงห้องซักรีด ห้องสุขา และถังกำจัดน้ำเสีย [cite: 43] |
| 52. | โรงพยาบาลมีไฟฟ้าใช้ ในปี ค.ศ. 1928 [cite: 43] | แสดงให้เห็นถึงการก้าวเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ [cite: 43] |
| 53. | เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลมีการฝึกสอน ทั้งด้านการบรรยายและงานคลินิกเป็นประจำ [cite: 43] | ทำให้เจ้าหน้าที่สามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในช่วงที่หมอเวรไม่อยู่ [cite: 43] |
4️⃣ งานด้านโรงเรียนและการศึกษา (Education & Schools)
4.1 โรงเรียนชาย (School for Boys)
| ลำดับ | ประเด็นสำคัญ | ตัวอย่าง/คำอธิบายเพิ่มเติม |
|---|---|---|
| 54. | งานโรงเรียนก้าวตามงานเผยแพร่ศาสนา แต่มิใช่ก้าวนำไป [cite: 44] | แสดงว่าการศึกษามีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนการเผยแพร่ศาสนา [cite: 44] |
| 55. | ดร.พีเพิลส์ ทุ่มเทเวลาให้กับโรงเรียนชาย โดยเฉพาะงานทางด้าน การช่าง [cite: 44] | เป็นการวางรากฐานด้านอาชีวศึกษาให้แก่เยาวชน [cite: 44] |
| 56. | คุณเทเลอร์กับภรรยา ได้รับแต่งตั้งให้ดูแลโรงเรียนชายอย่างถาวรในวันที่ 4 พฤศจิกายน ค.ศ. 1891 [cite: 47] | ทั้งสองดำเนินงานต่อไปถึง 17 ปี [cite: 47] |
| 57. | โรงเรียนชายเริ่มต้น จากโรงเรียนที่ทำจาก ไม้ไผ่ [cite: 47] | มีนักเรียนชายเพียงไม่กี่คนในช่วงแรก [cite: 47] |
| 58. | โรงเรียนชายย้ายไปใช้สถานที่ใหม่ คือ โรงเรียนเคนเนธ แมคเคนซี เมมโมเรียล [cite: 47] | สถานที่ที่มีเนื้อที่พอเพียงสำหรับโรงเรียนในขณะนั้น [cite: 47] |
| 59. | ดร.วินเซนต์ กับภรรยา ให้ความสำคัญกับการฝึกสอนงานทางด้าน การช่าง มากยิ่งขึ้น [cite: 47] | เน้นความสง่างามและความภาคภูมิใจในการทำงานด้วยมือ [cite: 47] |
| 60. | หน่วยงานด้านการช่าง ที่ ดร.วินเซนต์ ก่อตั้งขึ้น เป็นที่ ยอมรับและชื่นชมของชาวสยามทั่วไป [cite: 47] | แสดงถึงคุณภาพและชื่อเสียงของการศึกษาด้านเทคนิค [cite: 47] |
| 61. | อาจารย์ใหญ่คนต่อไป คือ คุณอาร์เธอร์ แมคมูลิน [cite: 47] | แม้ไม่มีประสบการณ์ด้านการศึกษา แต่ก็พิสูจน์ถึงความตั้งใจจริง [cite: 47] |
| 62. | คุณแมคมูลินช่วยเสริมงานทางด้านดนตรี ให้ก้าวหน้าอย่างเห็นได้ชัด [cite: 47] | ทั้งที่โรงเรียนและงานของคริสตจักร [cite: 47] |
| 63. | คุณแอชเชอร์ บี. เคส กับภรรยา เข้ามาดูแลโรงเรียนในปี ค.ศ. 1925 [cite: 47, 48] | ช่วยนำโรงเรียนให้ก้าวหน้าจนมีจำนวนนักเรียนเข้าเรียน สูงสุดเป็นประวัติการณ์ [cite: 48] |
4.2 โรงเรียนหญิง (School for Girls)
| ลำดับ | ประเด็นสำคัญ | ตัวอย่าง/คำอธิบายเพิ่มเติม |
|---|---|---|
| 64. | มิสฟลีสัน เป็นผู้รวบรวมเด็กผู้หญิงไม่กี่คนเพื่อเริ่มโรงเรียนหญิง [cite: 49] | โรงเรียนมีนักเรียนสิบคนในเวลาไม่นานนัก [cite: 49] |
| 65. | มิสฟลีสัน ทำงานทางด้าน การเผยแพร่ศาสนาอย่างแข็งขัน [cite: 49] | ท่านเดินทางไกลไปกับ ดร.วิลสันหลายครั้งหลายครา [cite: 49] |
| 66. | ห้องรับแขกของมิสฟลีสัน เป็นสถานที่ประชุมของมิชชัน [cite: 49] | บันทึกของศูนย์กล่าวถึง “มิชชันประชุมกันที่ห้องรับแขกของมิสฟลีสัน” อยู่บ่อยครั้ง [cite: 49] |
| 67. | มิสฟลีสัน มีคุณสมบัติทาง สังคมที่หายากยิ่ง [cite: 49] | มีการพบปะเพื่อดื่มน้ำชาหลังการประชุมเพื่อหล่อเลี้ยงความชุ่มชื่นให้กับงานประจำวัน [cite: 49] |
| 68. | โรงเรียนหญิงช่วงแรก มีนักเรียนส่วนใหญ่มาจาก ชุมชนคริสเตียนเท่านั้น [cite: 56] | แสดงว่ายังไม่ได้เป็นที่นิยมในวงกว้างของคนทั่วไป [cite: 56] |
| 69. | โรงเรียนหญิงช่วงแรก ดูเหมือนเป็นการเรียนที่ เคลื่อนย้ายอยู่เสมอ [cite: 56] | ไม่มีสถานที่แน่นอนในช่วงต้น [cite: 56] |
| 70. | การจัดหาที่ดินเพื่อสร้างโรงเรียนหญิง เป็นงานที่ไม่ง่ายเลย [cite: 56] | ดร.วิลสันเสนอให้มิชชันดำเนินการในปี ค.ศ. 1922 [cite: 56] |
| 71. | ความยากลำบากในการซื้อที่ดิน ต้องติดต่อหลายฝ่าย [cite: 56] | ต้องให้มิสฟลีสันติดต่อสุภาพสตรีสูงอายุเจ้าของที่ดิน ไปเข้าเฝ้าเจ้าผู้ครองนคร และไปพบท่านข้าหลวง [cite: 56] |
| 72. | ที่ดินสามารถซื้อได้สำเร็จ ในที่สุดโดย ดร.บริกส์ [cite: 59] | ดร.บริกส์มีความสามารถจูงใจผู้คนให้คล้อยตามได้เสมอ [cite: 59] |
| 73. | อาคารโรงเรียนหญิงปัจจุบัน สร้างเสร็จสมบูรณ์ก่อน มิสฟลีสันถึงแก่กรรมเพียงเล็กน้อย [cite: 60] | สร้างขึ้นจากวัสดุและเงินทุนส่วนใหญ่ที่มิสฟลีสันรวบรวมได้ในลำปาง [cite: 60] |
| 74. | โรงเรียนหญิง ที่มิสฟลีสันทิ้งไว้เป็นอนุสรณ์ของ แรงศรัทธาและประสิทธิภาพ ของท่าน [cite: 60] | นักเรียนหญิงที่ท่านสอนกลายเป็นมารดาของสตรีรุ่นใหม่ที่มีความสามารถ [cite: 60] |
| 75. | อาจารย์ใหญ่สองท่านต่อจากมิสฟลีสัน คือ มิสอลิซาเบธ คาโรเธอส์ และ มิสเฮเซิล อี. บรันเนอร์ [cite: 61, 62] | ภายใต้การนำของท่านทั้งสอง โรงเรียนก็เติบโตและเจริญรุ่งเรืองขึ้นพร้อมกับชื่อเสียง [cite: 62] |
| 76. | งานด้านการช่าง โดยเฉพาะงาน เย็บและงานทอ เป็นงานหลัก [cite: 62] | แสดงถึงการให้ความรู้และทักษะที่จำเป็นต่อการครองชีพ [cite: 62] |
| 77. | มิสคาโรเธอส์ ได้วางแผนส่งนักเรียนหญิงไปเรียนต่อให้สูงขึ้น [cite: 62] | เป็นการเปิดโอกาสทางการศึกษาในระดับที่สูงขึ้น [cite: 62] |
| 78. | ครูกลุ่มปัจจุบัน เป็นผลมาจากความพยายามของมิสซิสฮันนา (อดีตมิสบรันเนอร์) ที่ดำเนินงานต่อมา [cite: 62, 63] | เป็นการพัฒนาบุคลากรครูจากคนท้องถิ่น [cite: 63] |
| 79. | มิสลูซี่ สตาร์ลิงค์ เข้ามาดำรงตำแหน่งอาจารย์ใหญ่ในเวลาต่อมา [cite: 68] | โรงเรียนหญิงกลายเป็นโรงเรียนที่ใหญ่ที่สุดและพัฒนาที่สุดในบรรดาโรงเรียนของศูนย์พันธกิจนอกเขตบางกอก [cite: 68] |
| 80. | มาตรฐานและคุณภาพของห้องเรียน พัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง [cite: 68] | โรงเรียนมีนักเรียนประจำและนักเรียนไปกลับมากกว่าที่อาคารเรียนจะรองรับได้ [cite: 68] |
| 81. | อาคารใหญ่สำหรับนักเรียนประถม ก่อตั้งขึ้นจากเงินทุนที่มิสสตาร์ลิงค์รวบรวมเอง [cite: 68] | เป็นเงินที่มิตรสหายบริจาคให้ด้วยความชื่นชม [cite: 68] |
5️⃣ ความทรงจำและการอุทิศตน (Dedication & Legacy)
| ลำดับ | ประเด็นสำคัญ | ตัวอย่าง/คำอธิบายเพิ่มเติม |
|---|---|---|
| 82. | หลายคนทำงานช่วงสั้นๆ แต่ทิ้งความประทับใจไว้ [cite: 70] | เช่น มิสซิส ดับบลิว. เอ. บริกส์ และ มิสซิส ซี. เอ. แมคเคย์ [cite: 70, 71] |
| 83. | ดร.วิลสัน เป็นที่รักของทุกคนที่รู้จักท่าน [cite: 71] | ท่านเป็นสัญลักษณ์ของความเสียสละที่ไม่สั่นคลอน [cite: 71] |
| 84. | ดร.วิลสันสละเวลาถึง 53 ปี ของชีวิตให้กับงานที่ลำปาง [cite: 71] | เป็นการทำงานที่ยาวนานที่สุดเพื่อเผยแพร่พระเกียรติคุณของพระเยซูคริสต์เจ้า [cite: 71] |
| 85. | ภาพถ่ายการประชุมของมิชชันที่ลำปาง ในปี ค.ศ. 1917 [cite: 52] | มีผู้บริหารและผู้ร่วมงานสำคัญปรากฏอยู่ในภาพ [cite: 53, 54, 55] |
| 86. | เจ้าผู้ครองนครลำปาง และ เจ้าหญิงของลำปาง เข้าร่วมการประชุม [cite: 53, 54] | แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างมิชชันกับชนชั้นสูงท้องถิ่น [cite: 53, 54] |
6️⃣ ข้อมูลเพิ่มเติม
| ลำดับ | ประเด็นสำคัญ | ตัวอย่าง/คำอธิบายเพิ่มเติม |
|---|---|---|
| 87. | คำศัพท์: D.D. (Doctor of Divinity) และ M.D. (Doctor of Medicine) [cite: 4, 5, 40] | เป็นตำแหน่งทางวิชาการและวิชาชีพที่แสดงถึงความรู้ความสามารถของคณะหมอสอนศาสนา [cite: 4, 5, 40] |
| 88. | การเดินทางในอดีต ใช้เรือลาว [cite: 65] | การเดินทางไปสยามตอนเหนืออาจใช้เวลาถึง หกสัปดาห์หรือสองเดือน [cite: 65, 66] |
| 89. | แหล่งที่มาของเรื่องราว ส่วนใหญ่มาจากบันทึกเก่าๆ ของศูนย์พันธกิจ [cite: 11, 12, 21, 29] | บันทึกเหล่านี้บางครั้งก็ขาดรายละเอียดเรื่องการเดินทางมาของผู้ร่วมงานใหม่ๆ [cite: 12] |
ch10
🏰 ส่วนที่ 1: การก่อตั้งและสถานที่ตั้ง (ค.ศ. 1889)
- ศูนย์พันธกิจนี้มีชื่อว่า ศูนย์พันธกิจราชบุรี [cite: 2]
- ก่อตั้งขึ้นเมื่อ คริสต์ศักราช 1889 [cite: 2]
- ชื่อ ราชบุรี มีความหมายว่า เมืองของพระราชา (แต่เรียกสั้นๆ ว่า ราชบุรี) [cite: 3]
- เมืองราชบุรีตั้งอยู่บน ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำแม่กลอง [cite: 3]
- ราชบุรีเป็นเมืองที่ กำลังเจริญเติบโต [cite: 3]
- เป็นเมือง เอก (เมืองหลัก) และมี ประชากรหนาแน่น ของมณฑลขนาดใหญ่ [cite: 3]
- มณฑลใหญ่นี้ ครอบคลุมถึงเพชรบุรี และเมืองใหญ่อื่นๆ [cite: 3]
⛵ ส่วนที่ 2: การเริ่มต้นและอุปสรรคในการเดินทาง
- งานด้านศาสนาของศูนย์ฯ เริ่มต้นจากเพชรบุรีเป็นหลัก [cite: 4]
- การเดินทางระหว่างราชบุรีกับเพชรบุรีในตอนนั้น ยากลำบากมาก [cite: 4]
- การเดินทางใช้เวลาถึง 24 ชั่วโมงหรือมากกว่านั้น [cite: 4]
- ต้องเดินทางโดย ทางเรือ [cite: 4]
- เส้นทางเรือต้องผ่าน แม่น้ำสองแห่ง และ อ่าวไทย [cite: 4]
- ตัวอย่าง : ลองนึกภาพว่าคุณต้องนั่งเรือนานกว่าหนึ่งวันเต็มๆ เพื่อไปประชุมที่จังหวัดใกล้ๆ! นั่นคือความท้าทายในสมัยนั้น [cite: 4]
- ต่อมามีการสร้าง ทางรถไฟ [cite: 15]
- การสร้างทางรถไฟทำให้เวลาเดินทางระหว่างเพชรบุรีกับราชบุรี ลดลงอย่างมาก [cite: 16, 17]
- ระยะเวลาเดินทางร่นลงไป ไม่ถึงสองชั่วโมง เท่านั้น! (เร็วขึ้นกว่า 12 เท่า!) [cite: 17]
🏥 ส่วนที่ 3: บุคลากรและกิจกรรมในช่วงแรก
- รัฐบาลสยาม อนุมัติ ให้ศาสนาจารย์ อี.พี. ตันแลป ใช้บ้านหลังหนึ่งได้ [cite: 4]
- บ้านที่ได้รับอนุมัติให้ใช้เป็น บ้านอิฐสองชั้น [cite: 4]
- การใช้บ้านหลังนี้ ไม่เสียค่าเช่า [cite: 4]
- คริสตจักรต้องรับผิดชอบเพียง ค่าซ่อมแซมและค่าปรับปรุง เท่านั้น [cite: 4]
- หมอสอนศาสนาที่มาอยู่ประจำคนแรก คือ เจมส์ ทอมป์สัน, เอ็ม.ดี. [cite: 4]
- หมอเจมส์ ทอมป์สันมาพร้อมกับ ภรรยา [cite: 5]
- พวกเขาทำงานระหว่างปี ค.ศ. 1889 ถึง ค.ศ. 1893 [cite: 5]
- ทั้งสองท่านเป็น ผู้ปฏิบัติงานเพียงสองคนเท่านั้น ในช่วงแรก [cite: 5]
- พวกเขาเป็น ผู้ริเริ่มงานทุกๆ ด้าน [cite: 5]
- งานที่ริเริ่ม ได้แก่ งานทางการแพทย์ [cite: 5]
- งานที่ริเริ่ม ได้แก่ โรงเรียน [cite: 5]
- งานที่ริเริ่ม ได้แก่ งานเผยแพร่ศาสนา [cite: 5]
- ตัวอย่าง : หมอทอมป์สันและภรรยาเปรียบเหมือน ‘หน่วยปฏิบัติการพิเศษ’ ที่ต้องทำทุกอย่าง ตั้งแต่รักษาคนป่วย สอนหนังสือ และเผยแพร่ศาสนาด้วยตัวเองทั้งหมด [cite: 5]
- ผู้ที่เข้ามาทำหน้าที่ หว่านพืชในช่วงแรกๆ มีหลายท่าน [cite: 6]
- หนึ่งในนั้นคือ ศาสนาจารย์ เอ.ดับบลิว. คูเปอร์ (และภรรยา) ซึ่งมาทำหน้าที่หลายช่วงปี [cite: 7]
- ดร.อี. วอชเตอร์ (และภรรยา) ทำงานในช่วงปี ค.ศ. 1894-ค.ศ. 1908 [cite: 7]
- ศาสนาจารย์ อี. วอชเตอร์, เอ็ม.ดี. (พร้อมภรรยา) มีภาพประกอบอยู่ในเอกสาร [cite: 13]
- ศาสนาจารย์ ซี.อี. เอ็คเคิลส์ (พร้อมภรรยา) ก็เป็นหนึ่งในผู้ปฏิบัติงาน [cite: 8]
- มิสคูเปอร์ ทำงานอยู่หนึ่งปี ในช่วง ค.ศ. 1890-1891 [cite: 9]
- ผู้ที่ทำงาน น้อยกว่าหนึ่งปีโดยเฉลี่ย ก็มี เช่น ดร.กาย แฮมิลตัน ในปี ค.ศ. 1901 [cite: 9, 10]
🏡 ส่วนที่ 4: การปรับเปลี่ยนสถานที่
- สองสามปีต่อมา รัฐบาล ต้องการที่ดินผืนแรกนั้นคืน เพื่อกิจการอื่น [cite: 5]
- รัฐบาล ยอมให้คริสตจักรเปลี่ยนไปใช้อาคารที่ใหญ่ขึ้น [cite: 5]
- อาคารใหม่ตั้งอยู่ บริเวณที่เป็นศูนย์กลางของเมือง [cite: 5]
- การใช้ที่ดินและอาคารแห่งใหม่นี้ก็ ไม่เสียค่าเช่า เช่นกัน [cite: 5]
- อาคารแห่งใหม่ถูก ตกแต่งขึ้นมาใหม่ ให้เป็น บ้านแฝด เพื่อใช้เป็นที่พักอาศัยของ สองครอบครัว [cite: 5]
- อาคารอื่นๆ ในพื้นที่ถูกใช้เป็น โรงเรียน [cite: 5]
- มีการเพิ่มเติมอาคารขนาดเล็กสำหรับใช้เป็น ห้องพยาบาล อีกหนึ่งหลัง [cite: 5]
- ที่ดินผืนที่สอง ที่ยืมใช้นั้น รัฐบาลสยามได้ขอคืนในเวลาต่อมา [cite: 22]
- รัฐบาลให้เหตุผลในการขอคืนว่า จะนำไปสร้าง ตลาดแห่งใหม่ที่งดงาม เมื่อรวมกับที่ดินผืนติดกัน [cite: 22]
- รัฐบาล แจ้งมิชชันล่วงหน้าถึงหนึ่งปี และ ขยายออกไปอีกสามปี [cite: 22]
- รัฐบาลสยามให้สิทธิมิชชันในการ ขนย้ายสิ่งต่างๆ ที่สร้างเสริมขึ้น (โดยมิชชันรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง) [cite: 22]
- รัฐบาลยังให้ ความช่วยเหลือมิชชันในการซื้อที่ดินเปล่า เพื่อใช้กับงานในอนาคต [cite: 22]
- มีการสร้าง อาคารขนาดเล็กสี่หลัง ขึ้นบนที่ดินผืนใหม่ [cite: 22]
- อาคารหลังหนึ่งบนที่ดินใหม่ใช้เป็น ที่พักชั่วคราวของหมอสอนศาสนา [cite: 22]
- อาคารอื่นๆ ใช้เป็น สถานที่นมัสการพระเจ้า [cite: 22]
- อาคารอื่นๆ ใช้เป็น โรงเรียน [cite: 22]
- อาคารอื่นๆ ใช้เป็น งานทางการแพทย์ [cite: 22]
- สถานที่เก่าเดิมจึง ว่างลงในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1913 [cite: 22]
🧑🎓 ส่วนที่ 5: ผลงานด้านการศึกษาและการแพทย์
- งานด้านการแพทย์ถูกทำมาโดยตลอดแต่ ไม่ได้ใหญ่โตนัก [cite: 14]
- เหตุที่งานแพทย์ไม่ใหญ่โต เพราะศูนย์ฯ เน้นการเดินทางเผยแพร่ศาสนาอยู่หลายปี [cite: 14]
- เวลาที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดจึงให้กับ งานภายในท้องถิ่น [cite: 14]
- โรงเรียนสอนศาสนา และ การนมัสการพระเจ้าในวันอาทิตย์ ยังคงมีอยู่ตามปกติ [cite: 14]
- ผู้ที่เปลี่ยนศาสนา ไม่ได้รวมกันอย่างจริงจังเพื่อก่อตั้งคริสตจักรขึ้น [cite: 14]
- งานที่ได้ผลมากที่สุดของศูนย์ฯ คือ งานด้านการศึกษา [cite: 14]
- มีนักเรียน ชายและหญิงจำนวนหนึ่ง [cite: 14]
- นักเรียนเหล่านี้เริ่มต้นศึกษาจาก โรงเรียนไปกลับที่ราชบุรี [cite: 14]
- พวกเขาไปศึกษาต่อที่ กรุงเทพฯ (บางกอก) [cite: 14]
- นักเรียนเหล่านี้เติบโตไปเป็น คริสเตียนที่มีผู้คนรู้จัก [cite: 14]
- ตัวอย่าง : โรงเรียนที่นี่เปรียบเหมือน ‘สถานีทดลอง’ ที่บ่มเพาะเมล็ดพันธุ์ความรู้และความเชื่อ ก่อนที่เด็กๆ จะไปเติบโตและเป็นที่ยอมรับในเมืองหลวง [cite: 14]
- หมอสอนศาสนาด้านการแพทย์มีความจำเป็นต้อง ไปปฏิบัติงานในเขตอื่น [cite: 18]
- หมอชาวสยาม ชื่อ หมอเทียนกู่ จึงเข้ามารับหน้าที่ดูแลงานด้านการแพทย์ [cite: 18]
- หมอเทียนกู่เริ่มดูแลงานตั้งแต่ ต้นปี 1909 เป็นต้นไป [cite: 18]
- หมอเทียนกู่ ยังมิใช่หมอที่มีใบรับรองอย่างสมบูรณ์ (เหมือนยังไม่ใช่แพทย์เฉพาะทางเต็มตัว) [cite: 18]
- แต่ท่านก็ทำหน้าที่นี้เป็นอย่างดี [cite: 18]
- ในปี ค.ศ. 1912 มีข้อตกลงใหม่ที่ให้หมอเทียนกู่ปฏิบัติงาน โดยไม่มีเงินเดือนจากมิชชัน [cite: 18]
- แต่ท่านสามารถใช้ โรงพยาบาล และ ห้องพยาบาลของมิชชัน ได้ โดยไม่มีค่าเช่า [cite: 21]
- และยังมีสิทธิ ซื้อยาได้ตามความต้องการ [cite: 21]
- นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา มิชชันจึงไม่ต้องรับผิดชอบหรือมีส่วนในการสนับสนุนทางการเงินในด้านการแพทย์ [cite: 21]
🔄 ส่วนที่ 6: การรวมศูนย์และการถ่ายโอนงาน
- คณะกรรมการมิชชันเพรสไบทีเรียนโพ้นทะเล มีคำสั่ง [cite: 16]
- คำสั่งคือให้ รวมราชบุรีกับเพชรบุรีให้เป็นศูนย์เดียวกัน [cite: 17]
- การรวมศูนย์กำหนดให้เริ่มดำเนินงานตั้งแต่ ต้นปี 1909 [cite: 17]
- แม้มีการรวมศูนย์แล้ว คุณคูเปอร์กับภรรยาก็ยังคงอยู่ที่ราชบุรีต่อไปอีกสี่ปี [cite: 17]
- หลังการย้ายสถานที่เก่าเดิม (มี.ค. ค.ศ. 1913) ครอบครัวคูเปอร์ยังอยู่ที่ราชบุรีอีก หนึ่งเดือน [cite: 22]
- การอยู่ต่อหนึ่งเดือนเพื่อ ผ่อนถ่ายงานให้กับคนท้องถิ่น [cite: 22]
- คนท้องถิ่นจะดำเนินงานต่อไปโดย รับคำสั่งและรับความร่วมมือจากศูนย์เพชรบุรี [cite: 22]
- ในเดือนเมษายน (ค.ศ. 1913) มิสซิสคูเปอร์ เดินทางกลับบ้านเกิดเพื่อลาพัก [cite: 22]
- คุณคูเปอร์ ต้องเดินทางไป พิษณุโลก เพื่อทำงานเร่งด่วนที่ว่างลง [cite: 22]
- ทางมิชชัน ไม่มีทุนสร้างบ้านที่เหมาะสม ให้กับครอบครัวหมอสอนศาสนาที่จะมาประจำที่ศูนย์แห่งใหม่ในราชบุรี [cite: 22]
- ทำให้ ยังไม่มีครอบครัวใดๆ ไปอยู่ที่นั่น [cite: 22]
- นับตั้งแต่มีการรวมศูนย์ที่เพชรบุรี ราชบุรียังคงเป็นอีกศูนย์หนึ่งที่ขึ้นตรงกับเพชรบุรี [cite: 24]
- ศูนย์ราชบุรี ไม่มีหมอสอนศาสนาอยู่ประจำ [cite: 24]
- แม้แต่ในช่วงนั้น หมอสอนศาสนาที่เพชรบุรีก็ยังมี จำนวนน้อยกว่าที่ควรเป็น สำหรับงานที่มีอยู่ [cite: 24]
- สถานการณ์คล้ายกันนี้เกิดขึ้นใน อยุธยาและลำพูน ที่มีการ ถอนตัวหมอสอนศาสนาที่ประจำอยู่ออกไป [cite: 24]
- การถอนตัวนี้ทำให้ ศูนย์พันธกิจอื่นๆ ตกอยู่ในสภาพง่อนแง่น [cite: 24]
- ตัวอย่าง : การรวมศูนย์เปรียบเสมือนการ ‘ปิดสาขา’ แล้วเปลี่ยนเป็น ‘จุดประสานงาน’ ที่ต้องรายงานตรงไปยังสำนักงานใหญ่ (เพชรบุรี) [cite: 24]
📝 ส่วนที่ 7: ข้อจำกัดของบันทึก
- บันทึกเกี่ยวกับเรื่องราวทั้งหมดมีอยู่ น้อยและไม่ปะติดปะต่อกัน [cite: 25]
- ดังนั้น จึงไม่สามารถให้เรื่องราวที่ครบบริบูรณ์ เกี่ยวกับการทำงานของผู้ปฏิบัติงานได้ [cite: 25]
- ผู้ที่เราควรจะได้รายละเอียดอย่างแท้จริง ก็มิได้อยู่กับเราแล้ว [cite: 25]
- บันทึกทั้งหมด ที่เกี่ยวกับงานที่ทำไปแล้ว จะไปปรากฏอยู่อีกโลกหนึ่ง [cite: 25]
- ตัวอย่าง : เหมือนกับการพยายามต่อจิ๊กซอว์ที่มีชิ้นส่วนหายไปเยอะมาก ทำให้เราเห็นภาพรวมได้ แต่ก็ไม่สามารถทราบรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ทั้งหมดของความทุ่มเทในตอนนั้นได้ [cite: 25]
💡 ส่วนที่ 8: ข้อมูลอื่นๆ
- ข้อมูลนี้อยู่ใน บทที่ 10 ของหนังสือ [cite: 1]
- หัวข้อเรื่องคือ ศูนย์พันธกิจราชบุรี [cite: 20]
- หน้าที่สรุปนี้คือหน้า 170 ถึง 171 [cite: 12, 20]
- ข้อมูลอยู่ในส่วนของหนังสือที่ชื่อว่า หนึ่งศตวรรษในสยาม ค.ศ. 1828-ค.ศ. 1924 [cite: 12]